วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

เกาะรูปหัวใจ



เกาะรูปหัวใจ ดังกระฉ่อนโลก






เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในทะเลอาเดรียติก กลายเป็น "เกาะสวาทหาดสวรรค์" คนจำนวนมากอยากไปพักผ่อนฉลองวันเซนต์ วาเลนไทน์ (St. Valentine's Day) เทศกาลแห่งความรักประจำปีนี้...

หลังจากเว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต "กูเกิ้ลเอิร์ธ-Google Earth" เผย แพร่ภาพรูปโฉมของเกาะดังกล่าว ซึ่งธรรมชาติบรรจงเนรมิตให้ลักษณะเหมือนรูปหัวใจ สัญลักษณ์ แห่งความรัก โดยไม่ต้องพึ่งใครแต่งเติมเสริมสร้าง

เกาะรูปหัวใจตั้งอยู่นอกชายฝั่งทะเลประเทศโครเอเชีย พื้นที่แค่ 130,000 ตารางหลา เดิมชื่อเกาะกาเลสน์แจ็ค ไม่มีคนอยู่อาศัยถาวร แต่มีเจ้าของครอบครอง กรรมสิทธิ์

เจ้า ของเกาะเองก็ไม่คิดว่ารูปร่างมันจะเหมือนรูปหัวใจเปี๊ยบเช่นนี้ จนกระทั่งคนจากทั่วโลกติดต่อขอเช่าพักผ่อนวันวาเลนไทน์ บอกเห็นภาพและข้อมูลในกูเกิ้ลเอิร์ธ "น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ ผมมั่นใจเกาะนี้เหมือนรูปหัวใจที่สุดในโลก" วลาโด้ จูเรสโก้ สมาชิกครอบครัวเจ้าของเกาะบอกด้วยว่า "เราเปลี่ยนชื่อเป็น-เกาะคู่รัก-Lovers' Island" เรียบร้อยแล้วครับ


เกาะรูปหัวใจ


เป็น เกาะที่มีรูปร่างเป็นรูปหัวใจ ตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเกาะนี้ตั้งอยู่ที่ทะเลอาเดรียติก ประเทศอิตาลีโดยเกาะนี้มีชื่อเดิมว่า เกาะกาเลสจัก (Galesnjak Island) และตอนนี้เป็นที่รูปจักกันในชื่อว่า เกาะเลิฟเว่อร์ ( Lover Island ) โดยเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัวมีเจ้าของชื่อ นายวลาโด จูเรสโก้
ส่วนค่าพิกัดถ้าจะหาบน Google Earth หรือ Google map ละติจูด ( Lotitude ) : 43°58'42.47"N , ลองติจูด ( Longitude ) : 15°23'1.10"E

เกาะรูปหัวใจ จาก Google Earth เต็มๆ



เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในทะเลอาเดรียติก กลายเป็น "เกาะสวาทหาดสวรรค์" คนจำนวนมากอยากไปพักผ่อนฉลองวันเซนต์ วาเลนไทน์ (St. Valentine's Day)
เทศกาลแห่งความรักประจำปีนี้...

เกาะรูปหัวใจตั้งอยู่นอกชายฝั่งทะเลประเทศโครเอเชีย พื้นที่แค่ 130,000 ตารางหลา เดิมชื่อเกาะกาเลสน์แจ็ค ไม่มีคนอยู่อาศัยถาวร แต่มีเจ้าของครอบครอง กรรมสิทธิ์

เจ้าของเกาะเองก็ไม่คิดว่ารูปร่างมันจะเหมือนรูปหัวใจเปี๊ยบเช่นนี้ จนกระทั่งคนจากทั่วโลกติดต่อขอเช่าพักผ่อนวันวาเลนไทน์ บอกเห็นภาพและข้อมูลในกูเกิ้ลเอิร์ธ
"น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ ผมมั่นใจเกาะนี้เหมือนรูปหัวใจที่สุดในโลก" วลาโด้ จูเรสโก้ สมาชิกครอบครัวเจ้าของเกาะบอกด้วยว่า
"เราเปลี่ยนชื่อเป็น-เกาะคู่รัก-Lovers' Island" เรียบร้อยแล้วครับ

ฮือฮาเกาะ “กาเลสจัก” ตั้งอยู่ในทะเลอาเดรียติก หรือ “เกาะเลิฟเว่อร์” ชาวโลกคลั่งไคล้ใช้เป็น”สถานที่ฉลองวาเลนไทน์“เป็นเกาะรูปหัวใจที่สมบูรณ์ แบบที่สุด

ในขณะที่ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ใกล้ มาเยือนอีกเพียงวันสองวัน “คู่รัก”หลายคนอาจเล็งหาวิธีการฉลองความรักให้แก่ตัวเองและคนรักด้วยวิธีการ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกเดท หรืออะไรก็ตาม รวมทั้งการเล็งหาสถานที่”พลอดรัก”ในวันวาเลนไทน์ด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีหนึ่งในสถานที่ฮือฮามากที่สุดในตอนนี้ ที่ถูกมองว่าเหมาะสมสุด ๆ ที่จะเป็นเกาะ ๆ หนึ่งสำหรับการฉลองวาเลนไทน์ใน จิตใจผู้คนทั่วโลกไปแล้ว เกาะนี้เดิมชื่อว่า”กาเลสจัก”ตั้งอยู่ในทะเลอาเดรียติก แต่ตอนนี้ถูกเรียกขานในชื่อว่า”เกาะเลิฟเว่อร์”ในหมู่ชาวโลกที่คลั่งไคล้ไป แล้ว ความดังหรือความฮือฮาของเกาะนี้ ซึ่งอยู่ห่างชายฝั่งประเทศโครเอเชีย บังเกิดขึ้นเพียงเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจาก”กูเกิล เอิร์ธ”แผลงฤทธิ์ เผยสถานที่เหมือนรูปหัวใจ ในห้วงโอกาสวาเลนไทน์ ทำให้ติดตาตรึงใจผู้คน จนเกาะดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตร้อนแรง มีผู้คนแห่ติดต่อเจ้าของเกาะ หมายจะขอใช้เป็น”สถานที่ฉลองวาเลนไทน์”อย่างคึกคัก นายวลาโด จูเรสโก้ เจ้าของเกาะบอกว่า เขารู้สึกที่งมาก และตัวเองก็คิดว่า เกาะนี้เป็นเกาะรูปหัวใจที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลกแล้ว แถมบรรยากาศเกาะก็ยังสันโดษ เหมาะสำหรับที่คู่รักจะใช้เวลาอยู่ร่วมกัน บนเกาะรูปหัวใจแห่งนี้ อะไรก็เถอะ ที่น่าเสียดายก็คือนายจูเรสโก้ไม่ได้จัดการปัญหาว่า เมื่อถึงเวลา นักท่องเที่ยวจะพักตรงไหน น้ำท่าจะให้บริการอย่างไร แถมตอนนี้ สภาพอากาศบนเกาะนี้ ก็อยู่ที่ระดับ 14 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่า ไม่เหมาะที่จะเป็นเกาะสำหรับตากอากาศ อาบแดด หรือว่ายน้ำ แต่เอาเถอะในอนาคต เกาะแห่งนี้จะอาจกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตไปได้โดยปริยาย เพราะ”ความไม่เหมือนใคร”ชนิดยากจะลืมของ”เกาะรูปหัวใจแห่งเดียวของโลก”นั่น เอง

http://hilight.kapook.com/view/33749
http://news.softpedia.com/news/Galesnjak-Lovers-Island-Ideal-for-a-Romantic-Valentine-s-Day-104329.shtml

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีการสร้าง Blog

วิธีการสร้าง blog เก็บข้อมูลส่วนตัวฟรีที่ Blogger.com
Blog เป็นเครื่องมือสำหรับเขียนบันทึกเหตุการณ์ส่วนตัว ชื่อเต็มๆ มาจาก Weblog โดยคนที่เขียน blog เขาจะเรียกว่า blogger หรือ Weblogger ที่จริงแล้วจะเรียกชื่ออะไรคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเรามากนักเอาเป็นว่าให้พอรู้จักชื่อละกัน หากท้าวความย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะทำเว็บไซต์ส่วนตัวจะต้องศึกษาเครื่องมือเขียนเว็บอย่าง HTML หรือหากจะให้ง่ายหน่อยก็ใช้ทูลสำเร็จรูปอย่าง Dreamweaver, Frontpage ในการสร้างเว็บขึ้นมา หลังจากสร้างเสร็จจะต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรีเพื่ออัปโหลดข้อมูลในเครื่องเราขึ้นไปเก็บอีกทีหนึ่ง จึงจะมีเว็บของตัวเองได้

สำหรับ blog ไม่เป็นเช่นนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนโค้ด หรือนั่งสร้างเว็บเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรี ก็สามารถมีเว็บไว้บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวได้แล้ว อีกทั้งสามารถเปลี่ยนรูปพื้นหลัง (template) ได้ด้วย ปัจจุบัน blog กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัททั้งเล็ก ใหญ่ต่างก็ทำเว็บบล็อกบริการในบริษัท เพื่อให้พนักงานเขียนบล็อกส่วนตัวได้

* โดยในเนื้อหาใน Blog นั้นจะส่วนประกอบสามส่วนคือ 1.หัวข้อ (Title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน (Date)


ประโยชน์หลักของ blog
• เป็นศูนย์ความรู้ของบริษัท เพราะให้พนักงานแต่ละคนเขียนบล็อกส่วนตัวไว้ หากพนักงานท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่บริษัทให้รุ่นน้องศึกษา
• ใช้รายงานเหตุการณ์ หรือผลการทำงานว่าแต่ละวันได้ทำอะไรบ้าง
• ใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน กรณีมีการทำงานร่วมกัน
• ใช้สำหรับโชวร์ ผลงานส่วนตัว หรือไซต์ส่วนตัว
• ใช้ทำเว็บไซต์ส่วนตัว / เว็บดาราดัง (เราอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครสักคนก็สามารถทำได้สบาย )
• ใช้ทำเว็บรวมสถานที่ท่องเทียวในตัวจังหวัด หรือในอำเภอเล็กๆ ตามต่างจังหวัด
• ...

ตัวอย่างเว็บไซต์ ในลักษณะ Weblog
• Mblog > weblog.manager.co.th
• OpenTLE Blog > blog.opentle.org
• Kapook Blog > www.kapookclub.com
• BlogGang > www.bloggang.com
• Exteen Blog > www.exteen.com
• MSDN Blogs > blogs.msdn.com
• Sun Blog > blogs.sun.com
• OracleAppsBlog > www.oracleappsblog.com
• Google Blog > googleblog.blogspot.com
• IBM Developer Blog > www-106.ibm.com/developerworks/blogs

การสมัครเขียนบล็อกฟรี ที่ Blogger.com

1. เข้าสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ www.blogger.com











2. คลิกที่เริ่มสร้างบล็อกที่ CREATE YOUR BLOG NOW











3. กรอกรายละเอียดส่วนตัว ชื่อล็อกอิน / รหัสผ่าน / ชื่อบล็อก / อีเมล์
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue


















4. ระบุรายละเอียดของบล็อก
Blog title : ระบุชื่อบล็อก
Blog address (URL) : ชื่อยูอาแอลสำหรับเรียกใช้งาน http://arnut.blogpot.com
World Verification : พิมพ์รหัสที่ระบบบอกมา
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
















5 . ระบบจะแสดง Template ให้เลือกใช้งานหลายแบบ ให้ทำการคลิกเลือก Template ที่ต้องการ
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue





















6 . ระบบแสดงข้อความกำลังทำการสร้าง blog ให้อยู่

















7. ทำการสร้าง blog เสร็จแล้ว
ให้คลิกปุ่ม START POSTING เพื่อทดสอบเข้าใช้งาน















8. พิมพ์รายละเอียดข้อความแรกในบล็อก หลังพิมพ์ฺเสร็จสามารถคลิก preview ดูผลก่อนได้
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Publish Post



















9. เสร็จสิ้นการติดตั้งเว็บบล็อก
ให้คลิกที่ View Blog เพื่อดูผล















10. แสดงบล็อกส่วนตัวที่สร้างเสร็จแล้ว
สังเกต url ด้านบนจะเป็น http://arnut.blogspot.com/



















11. ที่นี้กรณีที่ต้องการเขียน Blog เพิ่มเติม หรือเข้าไปแก้ไข Blog สามารถล็อกอินเข้าได้ที่
http://www.blogger.com/start พิมพ์ชื่อ username / Password
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม SIGN IN เพื่อเข้าระบบ















12. จะเข้าสู่หน้าต่างผู้ดูแลบล็อกสำหรับแก้ไข และปรับแต่งข้อมูลต่างๆ ดังรูป
ทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ


















สรุป
ในการสร้างบล็อกนั้นสามารถทำได้สองแบบคือ
1. การติดตั้งโปรแกรมทำ Blog ขึ้นใช้งานเองสำหรับบริการพนักงานใน office เลย ตัวอย่างโปรแกรมสร้าง blog เช่น WordPress, b2evolution, Nucleus, pMachine, MyPHPblog, Movable Type, Geeklog, bBlog (วิธีนี้ท่านต้องมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเองอาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Internet Blog ก็ได้)
2. การใช้งานบล็อกฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บเปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น Blogger.com (en), Bloglines.com (en), Exteen.com (th), Bloggang.com(th)*


http://www.cmsthailand.com/docs/blogger_register.html

แผนที่เกาะรูปหัวใจ

http://maps.google.com/maps?hl=en&q=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88&ie=UTF8&ll=43.979012,15.383434&spn=0.007983,0.019312&t=h&z=16&iwloc=A

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ท้องร่วง...โรคภัยในหน้าร้อน



ท้องร่วง คือโรคภัยชนิดหนึ่งที่พบมากในหน้าร้อน โรคท้องร่วงมีสาเหตุจากการติดเชื้อซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิด หรือปรสิต ซึ่งยาที่รักษาก็ต้องแตกต่างกันด้วย โรคท้องร่วงส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อข้างต้นและสามารถหายได้เองโดย ไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ ซึ่งยาปฏิชีวนะ ใช้ได้กับคนที่มีอาการท้องเสียที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น!!

ตัวอย่างยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้กันมากทั้งๆที่ไม่จำเป็น

นีโอมัยซิน เป็นยาปฏิชีวนะซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะแบคทีเรีย ยานี้มีพิษต่อประสาทหูมากที่สุดชนิดหนึ่ง ถ้ากินอาจจะมีอาการโคลงเคลง หูตึง และได้ยินเสียงดังอยู่ตลอดเวลา

พทาริลซัลฟาไทอาโซล เป็นยาต้านแบคทีเรียในกลุ่มซัลฟา ในปัจจุบันแบคทีเรียแทบทุกชนิดต่างดื้อยาตัวนี้ยาในกลุ่มนี้ผลข้างเคียงมาก และรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่น อาการตับอักเสบ ตับวายและเป็นโรคของเม็ดเลือดหลายชนิด

ไอโอโดควินอล เป็ยาฆ่าเชื้อบิด ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง มีพิษต่อระบบประสาท เกิดอาการประสาทตาอักเสบซึ่งทำให้ตาบอดได้

ฟูราโซลิโดน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ทั้งกับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อปรสิตแต่ปัจจุบันเลิกใช้ ไปแล้วเพราะยาตัวนี้อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกทั้งในคนปกติและคนที่พร่อง เอนไซม์จีซิกซ์พีดี

การใช้ยาฆ่าเชื้อแบบเหวี่ยงแห คือการใช้ยาหลายๆชนิดในคราวเดียวกันเพื่อครอบ คลุมเชื้อที่อาจเป็นไปได้ให้มากชนิดที่สุด เช่น การนำยานีโอมัยซิน+พทาริลซัลฟาไทอาโซ+ไอโอโดควินอล+ฟูราโซลิโดย รวมไว้ในยาเม็ดเดียวเป็นสูตรผสม ซึ่งเป็นยาอันตรายทั้ง 4ชนิด ถ้าเราไม่ได้มีการติดเชื้อ ยาที่กินเข้าไปก็เปล่าประโยชน์ถึงแม้ติดเชื้อใดเชื้อหนึ่งก็ได้รับยาเกินไป ถึง 3 ชนิด

***วิธีที่ดีที่สุด คือการไม่ใช้ยา**

เราควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป ควรกินอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม งดอาหารรสจัดหรืออาหารที่ย่อยยากไม่ควรดื่มนม อาการท้องเสียป้องกันได้ โดยการกินอาหารที่สุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาดและล้างมือก่อนหยิบจับอาหารกินทุกครั้ง

ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"

ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"



ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
เพราะไม่เคยดูถูกตัวเอง

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าใครกำหนดชนชั้นในสังคม
ใครบอกว่าคนนี้ด้อยกว่าคนนั้น..คนนั้นเลิศกว่าคนนี้

"คนนั้นเขาดูถูกฉัน"..
"ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูก"

ฉันว่าไม่มีใครมาดูถูกเราได้..
ถ้าหากเราไม่คิดดูถูกตัวเอง

คนที่เดือดร้อน..นั่นแสดงว่า..
เขาไม่มีความภูมิใจในตัวเอง

ลองนั่งอยู่กับตัวเองซักพัก..
และลองหาดูว่าตัวเองมีอะไรที่คนอื่นไม่มีบ้าง

ฉันไม่ได้หมายถึง..
กระเป๋ามียี่ห้อ..รองเท้าจากอิตาลี..หรือขับรถซีรี่ส์ 7

แต่หมายถึงสิ่งดี ๆ ที่มักมีใครหลายคนสรรเสริญเราให้ได้ยิน
เช่น...

เราเรียนเก่ง..
เป็นคนใจกว้าง..
เป็นคนที่เพื่อนรัก
ไม่เรื่องมาก...

แค่นี้เธอก็มีความพิเศษกว่าคนอื่นแล้ว..
สิ่งนี้แหละที่บ่งบอกว่า...

เป็นตัวเธอ...
มีคนเดียวในโลก..
และเธอก็น่าจะภูมิใจ

คนที่ดูถูกคนอื่น..
น่าสงสารกว่าเราอีกนะ
........
..........


เพราะเขามัวมองคนอื่น..
จนลืมมองตัวเอง...

รู้จักกันมั้ย "โรคอกหัก"

รู้จักกันมั้ย "โรคอกหัก"


เขา ว่ากันว่า ความรักนี้ช่างมหัศจรรย์นักหนา เพราะแค่คำว่ารัก คำเดียว สามารถเปลี่ยนคนเราให้ขาวกลายเป็นดำได้ สามารถทำให้คนหดหู่กลายเป็นคนสดใสขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ



แต่ ในขณะเดียวกันเมื่อเราต้องเจอกับความไม่สมหวังในความรัก รักนั้นก็อาจจะกลายเป็นยาพิษที่สามารถทำให้เราทรมานทั้งร่างกายและจิตใจได้ อย่างที่เรียกกันบ่อย ๆ ว่า "อกหัก" เมื่อก่อนนี้เราอาจจะมองว่า "อกหัก" เป็นแค่อาการ ๆ หนึ่งที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราไม่สมหวังในความรัก รักเขาแล้ว แต่เขาไม่รักตอบกลับไปรักคนอื่นที่ไม่ใช่เราแทน


แต่ คุณทราบหรือไม่ว่าเดี๋ยวนี้ "อกหัก" ไม่ใช่แค่อาการธรรมดา ๆ แล้วนะ เพราะล่าสุดนักวิจัยจากประเทศออสเตรีย ระบุว่า อกหัก ถือเป็น "โรค" อย่างหนึ่งได้ เพราะมันมีผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ที่เป็นโรคอกหักเลยทีเดียว


อาการ ทางร่างกาย ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ นอนไม่ค่อยหลับน้ำหนักลดลง ไม่เจริญอาหาร ภูมิคุ้มกันลดลง ในขณะที่อาการทางจิตใจก็คือ เครียด รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีเรี่ยงแรง ไม่ค่อยมีสติ


ซึ่ง อาการดังกล่าวนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยมีร่างกายและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ หากไม่ได้รับการรักษาเยี่ยวยาที่ถูกต้องอาจจะนำพาไปสู่ภาวะขาดสติจนถึงขั้น คิดฆ่าตัวตายเลยทีเดียว


โดย การรักษานั้นนักวิจัยกล่าวว่า ให้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรักครั้งเก่า ให้คนรอบข้างหมั่นพาไปในสถานที่ที่ยังไม่เคยไปด้วยกันมาก่อน หรือลองหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำด้วยกัน แต่ทั้งนี้ หากเป็นคนที่มีจิตใจที่อ่อนแอมาก ๆ แนะนำว่าให้ควรพบจิตแพทย์ เพราะคุณหมอจะช่วยเยียวยาได้ดีที่สุด เนื่องจากผู้ที่มีจิตใจที่อ่อนแอมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายง่ายกว่าคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

คนท้อไม่แท้ คนแท้ไม่ท้อ

คนท้อไม่แท้ คนแท้ไม่ท้อ


คำว่าพลิกวิกฤติให้เนโอกาสนั้นมีจริง
เพราะคนชนะ จะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
พอตกงาน เค้าก็จะไปทำอย่างอื่น
จนประสบความสำเร็จ และร่ำรวยขึ้นมาได้

แต่คนแพ้ จะคิดว่าการชนะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้...
มีเด็กจบปริญญาตรีคนหนึ่ง
ไปมองหาลู่ทางขายของ
เมื่อเห็นว่ามีก๋วยเตี๋ยวขายเยอะแล้ว
ก็หันมาขายข้ามหมกไก่
ขายได้วันล่ะหมื่น แต่อยากเพิ่มเป็นวันล่ะแสน
ก็ขยายเป็น 10 สาขา
ทำให้เดือนหนึ่งมีรายได้มากถึง 3 ล้านบาท

ฉะนั้นแล้ว
อย่าเป็นคนด้านได้ อายอด ใจหด หมดกำลังใจ
เราต้องต่อสู้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

อย่าไปหมดหวัง ท้อแท้กำลังใจ
"คนท้อ ไม่แท้
คนแท้ ไม่ท้อ"

6 นิสัยที่ทำร้ายตัวเอง

6 นิสัยที่ทำร้ายตัวเอง.
ถ้า พูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดีคุณจะนึกถึงคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร? บางคนนึกถึงคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หรือคนที่ไม่เคยมีความทุกข์เลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นก็อาจถูกต้องในบางส่วน

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัด แย้งภายในจิตใจ

ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ครับว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะครับ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่

1. นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใคร ๆ ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใด ๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็ คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

2. คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความ รู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

3. นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่ เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

4. นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิด ๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไป อีก

5. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้ คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

6. คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความ คิดร้าย ๆ ของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่น ๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน

สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหมครับ ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

เมื่อรัก......หมายถึงความใส่ใจ

เมื่อรัก...หมายถึงความใส่ใจ



เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรัก . . . คืออะไร?"
ผมคิดว่า . . . วันนี้ผมมีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ
คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"

หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน
ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ

หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า. . .
คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร
แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้
ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...
นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง
หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง
เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก
ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ


ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย
หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน
คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย
หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น
คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน
ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ


หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง
เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ
คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง
หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า "ถึงหรือยัง" "ปลอดภัยดีไหม" "เหนื่อยไหม"
หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน
มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า
"โชคดีนะ ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"


หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า "ขับรถดีๆนะ"
หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ
ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน
คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่
ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน


แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่
ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน ความเกรงใจเป็นสิ่งดี
และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน
คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน
เพียงแต่วันนี้ . . . คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????

ฮีทสโตรก โรคที่เกิดช่วงหน้าร้อน

ฮีทสโตรก โรคที่เกิดช่วงหน้าร้อน



ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ทุกคนให้ความสำคัญ เพราะนับวันอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประเทศไทย ขณะนี้สภาพอากาศร้อนจัดกว่าทุกปี ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยหลายโรค เช่น โรคในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่มีเชื้อโรคปน เปื้อนเข้าไปซึ่งเกิดบ่อยที่สุด แต่โรคที่มีการพูดถึงกันน้อย คนเป็นบ่อยช่วงหน้าร้อนคือ "โรคฮีทสโตรก" หรือ "โรคลมแดด" (Heat Stroke) แต่บางที่ก็เรียกว่า "โรคอุณหพาต" หรือ "โรคลมเหตุร้อน" นั้นเอง

อาการของโรค ฮีทสโตรก

โรคฮีทสโตรก เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนทำให้ความร้อนใน ร่างกาย (core temperature) สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่เบื้องต้น ได้แก่ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศรีษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียน ซึ่งอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก ได้แก่ ภาวะขาดเหงื่อ, เพ้อ, ชัก, ไม่รู้สึกตัว, ไตล้มเหลว, มีการตายของเซลล์ตับ, หายใจเร็ว, มีการบวมบริเวณปอดจากการคั่งของของเหลว, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, การสลายกล้ามเนื้อลาย, ช็อค และเกิดการสะสมของ fibrin จนไปอุดตันหลอดเลือดขนาดเล็กทำให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

สามารถของผู้ป่วยเป็นโรคฮีทสโตรก แบ่งตามสาเหตุการเกิดโรคออกเป็น 2 ประเภท คือ

- Classical Heat Stroke เกิดจากความร้อนในสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่มีมากเกินไปส่วนใหญ่เกิดในช่วงที่ มีอากาศร้อน พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมากและมีโรคเรื้อรัง มักเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง อาการที่สำคัญ คือ อุณหภุมิร่างกายสูง, ไม่มีเหงื่อ

- Exertional Heat Stroke เกิดจากการออกกำลังที่หักโหมเกินไป มักจะเกิดในหน้าร้อนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานและนักกรีฑา อาการคล้ายกับ Classical แต่ต่างตรงที่กลุ่มผู้ป่วยประเภทนี้จะมีเหงื่อออก นอกจากนี้ยังพบการเกิดการสลายเซลล์กล้ามเนื้อลาย โดยจะมีอาการแทรกซ้อน ได้แก่ ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ และพบไมโอโกลบินในปัสสาวะด้วย

บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคฮีทสโตรก

บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคฮีทสโตรก ได้แก่ ทหารที่เข้ารับการฝึกโดยปราศจากการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมในการเผชิญสภาพ อากาศร้อน รวมถึงบรรดานักกีฬาสมัครเล่นและผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น รวมทั้งผู้สูงอายุ เด็ก คนอดนอน คนดื่มเหล้าจัด และผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย

สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก

สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก ก็คือ ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่ามีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจะต้องหยุดพักทันที

หากพบเจอผู้เป็นโรคลมแดดสามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดย

• นำผู้มีอาการเข้าร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง ถอดเสื้อผ้าออก
• ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศรีษะ ร่วมกับการใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
• เทน้ำเย็นราดลงบนตัวเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล

วิธีการป้องกันโรคลมแดด คือ

• หากรู้ว่าจะต้องไปทำงานท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนก็ควรเตรียมตัวโดยการออก กำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ อย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ร่างกายชินกับสภาพอากาศร้อน
• ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และแม้ว่าจะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
• สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี
• ก่อนออกจากบ้านควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป
• หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด
• หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ แก้น้ำมูก โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรือการอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนเป็นเวลานาน
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาเสพย์ติดทุกชนิด
• ในเด็กเล็กและคนชราควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องจัดให้อยู่ในห้องที่อากาศระบายได้ดี และอย่าปล่อยให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพัง


--------------------

รู้ทันโลกในหน้าร้อน

รู้ทันโรคในหน้าร้อน

ในหน้าร้อน กระ ฝ้า มักแห่กันมาเยี่ยมใบหน้าของคุณ หากไม่ป้องกันหรือเหงื่ออกมากๆ ก็ต้องระวังผื่นคัน และเชื้อรา
ดาราสาว คาเมรอน ดิแอช ชอบเล่นวินเซิร์ฟเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งก็ย่อมหนีไม่พ้นแสงแดด เธอจึงจำเป็นต้องใช้ซันบล็อกทุกครั้ง ส่วนดาราสาวใหญ่ที่สวยไม่สร่างอย่าง ชารอน สโตน ก็ชอบอาบแดดบ้างเป็นครั้งคราว และในทุกครั้งที่อาบแดด ชารอนปกป้องผิวเป็นพิเศษด้วยผลิตภัณฑฑ์กันแดดคุณภาพดีและมีต่า SPF สูง
เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าแสงแดดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็สามารถให้โทษได้เหมือนกันถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี Lisa จึงสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญถึงวิธีป้องกันผิวและรู้ทันโรคในฤดูร้อนนี้ค่ะ
Q : แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร

A : มัน จะช่วยกระตุ้นเซลล์บางตัว ให้กระตือรือร้นในการป้องกันโรค และทำให้ภูทิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้แสงแดดยังช่วยให้ผิงสร้างวิตามินดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมในกระดูกได้ดียิ่งขึ้น และยังกระตุ้นให้มีการผลิตฮอร์โมนแห่งความสุข รวมทั้งฮอร์โมนเพศเทสโทสเทอโรนและเอสโตรเจนอีกด้วย
Q : ควรระวังภัยจากแสงแดดที่แผดกล้าอย่างไร

A : แท้ จริงแล้วทางการแพทย์เห็นว่าแสงแดดนั้นมีความสำคัญสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เพียงต้องระวังไม่ให้ผิวไหม้แดด เพราะอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปเที่ยวทะเลเพราะรังสีจากแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากน้ำ หรือทรายจะสะท้อนรังสียูวีเพิ่มมากขึ้นอีก 4 เท่า ดังนั้นเราควรปกป้องตัวเองด้วยการทาครีมกันแดด 1 ชั่วโมง ก่อนออกไปนอกที่พัก และควรทาบ่อยๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มการป้องกันได้ดีขึ้น อย่าดดนแสงแดดนานๆ โดยเฉพาะเวลา 10.00 – 15.00 น. และควรป้องกันบริเวณทีผิวบอบบางด้วยเสื้อผ้าที่มิดชิด สวมหมวก และควรเป็นเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดดทะลุถึงผิวได้ เช่น ผ้าฝ้าย

Q : ถ้าหากใช้แบบกันน้ำก็ต้องระวังเรื่องการทำควาสะอาดใช่มั้ยคะ

A : ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ซึ่งปัจจุบันมีหลายแบบ เช่น มิลกี้ ออยล์ แต่ถถ้ามีสิวแล้วใช้ออยล์เช็ดสิวอาจจะเห่อได้ ก็ควรใช้มิลกี้ที่ไม่มีออยล์เช็ดทำความสะอาด ปัจจุบันมีคลีนเซอร์หลายแบบที่ล้างเครื่องสำอางได้ดี
Q : ผลิตภัณฑ์กันแดดควรมีคุณสมบัติอย่างไร

A : ผลิตภัณฑ์ กันแดดมีหลายชนิด เช่น ครีม น้ำ โลชั่น สเปรย์ ถ้ามีค่า SPF เท่ากันก็ชึ้นอยู่กับปริมาณการทา ว่าทาได้เพียงพอหรือไม่ ถ้าเป็รสเปรย์ก็อาจทาได้ไม่ทั่วถึง บริเวณที่ทาไม่ทั่วก็จะโดนแดดซึ่งจะทำให้เกิดกระ ฝ้า ได้ง่าย ครีมกันแดดอาจทาได้ทั่วบริเวณมากกว่าสเปรย์ส่วนโลชั่นก็เหมาะกันคนผิวมัน มากๆ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพราะคนที่ผิวมันมากๆ หากใช้ครีมก็ยิ่งจะผิวมันมากขึ้นอีกส่วนค่า SPF ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของวันนั้นๆ ถ้าไม่ค่อยโดนแดดมาก ก็ใช้ 25 – 30 ก็พอ แต่ถ้าไปเที่ยวหรือมีกิจกรรมกลางแจ้งก็ควรใช้ค่า SPF 50-60 จะดีกว่าและควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่ปกป้องผิวได้ทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบี ส่วน PA หมายถึง การป้องกันรังสียูวีเอ ซึ่งหากเป็ร PA+++ ก็จะปกป้องรังสียูวีเอได้มากกว่า PA+ หรือ PA++ และ SPF หมายถึงการป้องกันรังสียูวีบี ค่ามากกว่าก็จะป้องกันได้มากกว่า
Q :คนที่มีอาการแพ้แสงแดดที่เรียกว่า Photodermatosis เป็นอย่างไร

A : คนที่แพ้แสงแดดจะสังเกตเห็นได้ว่า พอโดนแสงแดดจะมีผื่นขึ้น ชนิดผื่นจะมีหลายชนิด และถ้าไม่โดนแดดก็จะไม่เป็นเผื่อ ผื่นก้จะเกิดที่บริเวณที่โดนแดดเท่านั้น เช่น ถ้าเราใส่เสื้อแขนสั้น ผื่นก็จะขึ้นบริเวณแขน ซึ่งไม่มีผ้าปกปิด ส่วนที่ไม่โดนแดดจะไม่ค่อยมีผื่นขึ้น กรณีที่ขึ้นผื่นบริเวณที่โดนแดดก็ต้องสงสัยว่า แพ้แดดหรือเปล่า แต่บางคนเมื่อโดนแดด ผื่นจะยังไม่ขึ้นทันที แต่พอเข้สไปอยู่ในร่มสักประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง ก็มีผื่นขึ้นได้ แต่บริเวณที่เป็นก็จะบอกได้ว่าแพ้แสงแดดหรือไม่ คือบริเวณที่รับแสงแดดโดยตรง เช่น คอส่วนบน ตรงแขนหรือส่วนที่ไม่มีผ้าปกปิด จะมีผื่นขึ้นโดยทั่วไป มีคนจำนวนไม่มากนักที่แพ้แสงแดด และไม่จำเป็นจะเป็นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น
Q : เมื่อเหงื่ออกมากๆ มักมีอาการคัน มีสาเหตุเกิดจากอะไร และควรป้องกันอย่างไร

A : คนที่เหงื่อออกแล้วมีอาการคันเหมือนแพ้เหงื่อตัวเอง คทอเวลามีเหงื่อออก เหงื่อจะมีความเค็ม ซึ่งบางคนเวลาเหงื่ออกมากๆ ก็จะระคายเคือง แต่ถ้ามีอาการคันก็ควรอยู่ในที่เย็นๆ หือพอเหงื่ออกมากๆ ก็ให้ไปอาบน้ำชำระเหงื่อ อย่าให้เหงื่อแห้งจับตัวเพราะจะทำให้ผื่นคัน

Q : ควรป้องกันอาการปากเป็นแผลหรือเริมจากแสงแดดอย่างไร

A : บางคนเมื่อโดนแดดมากๆ ก้จะเป็นการกระตุ้นเชื้อไวรัสให้เจริญเติบโตได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นกันไม่มาก ยกเว้นคนที่ตากแดดนานๆ บ่อยๆ แต่คนทั่วไปที่เป็นเริม การตากแดดก็ไม่เป็นการทำให้เห่อเท่าไหร่ ส่วนมากคนที่เห่อเมื่อโดนแดด ก็จะมียารับประทานช่วยป้องกันไม่ให้เริมขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูล จากโรงพยาบาลยันฮี

โรคหน้าร้อนและวิธีปรับตัว




ใกล้จะถึงหน้าร้อน เราต้องคงปรับตัวกันบ้างล่ะ โรคหน้าร้อนเป็นอย่างไร มีโรคอะไรบ้าง และจะปรับตัวอย่างไร
ขอนำเสนอบทความโรคหน้าร้อนที่สำคัญ และพบได้ทุกปี ดังนี้ต่อไปนี้
1. โรคระบาดที่ติดต่อทางอาหารและน้ำ เช่น โรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ บิด ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย เป็นต้น
โรคอุจจาระร่วง นั้น เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโปรโตซัว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเหลวเป็นมูกเลือด อาเจียน มักมีอาการปวดท้องรุนแรง ร่วมด้วย ที่เรียกกันทั่วไปเรียกว่า อาหารเป็นพิษ ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย ผู้ป่วยโรคนี้จะอาการคล้ายอาหารเป็นพิษ แต่รุนแรงกว่า บางรายอาการท้องผูกแทนท้องร่วง โรคเหล่านี้หากประชาชนไม่รู้จักวิธีเยียวยารักษาถูกต้อง เช่น สูญเสียน้ำในร่างกายมาก อาจถึงขั้นช็อกจนเสียชีวิตได้
สำหรับอาหารที่ต้องระมัดระวังในการบริโภคในหน้าร้อน เนื่องจากเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางอาหารและน้ำได้ง่าย เช่น อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสม น้ำแข็ง อาหารทะเล ส้มตำ อาหารปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบ ก้อย อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารประเภทยำ โดยเฉพาะลูกชิ้นลวกรสแซ่บ เนื่องจากการลวกลูกชิ้นอาจถูกความร้อนเฉพาะผิวรอบนอก แต่ข้างในไม่สุกทั้งหมด ดังนั้นผู้ปรุงอาหารจึงควรเคร่งครัดปรุงให้สะอาด ใช้เวลาลวกในน้ำเดือดนาน 1 นาทีขึ้นไป เพื่อให้ความร้อนทำลายเชื้อโรค หรือแบคทีเรียที่อาจปนเปื้อนอยู่ เพราะลูกชื้นส่วนใหญ่มีการผลิตมาก่อนถึงมือผู้บริโภคไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
โรคระบาดที่ติดต่อทางอาหารและน้ำ สามารถหลีกเลี่ยงได้ดังนี้
- ไม่รับประทานอาหาร น้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค และสารพิษ
- ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ รวมทั้งเก็บถนอมอาหารไว้ในตู้เย็น เมื่อจะรับประทาน ต้องนำออกจากตู้เย็นมาอุ่นก่อน
- ล้างมือก่อนปรุงอาหารและรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้เชื้อโรคเข้าสู่
ร่างกาย
- การรับประทานอาหารนอกบ้าน ควรเลือกร้านอาหารที่สะอาดปลอดภัย

2. โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้เลือดออก เป็นต้น
โรคพิษสุนัขบ้า สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญในบ้านเรา พบว่า คือ สุนัข รองลงมาคือ แมว เชื้อโรคพิษสุนัขบ้ามีอยู่ในน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรค เข้าสู่คนได้ทางบาดแผลที่ถูกสุนัขกัดจึงไม่ควรคลุกคลีกับสุนัขที่ไม่มีเจ้าของและไม่ควรยั่วโมโหสุนัข หากเลี้ยงสุนัขหรือแมวให้นำไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคปีละครั้ง และควรระมัดระวังบุตรหลานของท่านไม่ให้คลุกคลีกับสุนัขและแมวจรจัด


เมื่อถูกสุนัขหรือสัตว์กัด ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ แล้วใส่ยารักษาแผลสด และรีบไปพบแพทย์ โรคนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตปีหนึ่ง ๆ นับร้อยราย ทั้ง ๆ ที่โรคนี้ มีวัคซีนป้องกันแล้ว แต่ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากอยู่ดี
โรคไข้เลือดออก แม้ว่าจะไม่ระบาดรุนแรง แต่ก็พบได้ทุกฤดู พบมากในกลุ่มเด็กโตโตวัยรุ่น และ ในผู้ใหญ่ ระวังอย่าให้ยุงลายกัด นอนในมุ้ง ช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายเป็นประจำทุกสัปดาห์

3. โรคอื่น ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่มักเกิดขึ้นง่าย ๆ ช่วงหน้าร้อน ซึ่งยังต้องดูแลเอาใจใส่ ไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ จะดีที่สุด ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ปวดหัว-ตัวร้อน ไอ-จาม รวมทั้งโรคผิวหนัง เม็ดผด-ผื่นคัน อีกทั้งโรคลมแดด โรคลมชักลมบ้าหมู ผู้ป่วยที่มีโรคเหล่านี้เป็นโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

วิธีปรับตัวเพื่อให้รอดพ้นโรคภัยไข้เจ็บ ที่มากับช่วงหน้าร้อน ทำได้ง่ายๆ ดังนี้
วิธีแรก ปรับพฤติกรรมบริโภคช่วงหน้าร้อน ให้เข้ากับสภาวะอากาศร้อนอบอ้าว
อุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวมาก ๆ จะมีผลให้อาหารเกิดการบูด เน่าเสียง่าย เร็วกว่าฤดูกาลอื่น ๆ จึงต้องเลือกบริโภคอาหาร น้ำดื่ม และนม ถูกสุขอนามัย โดยต้องพิถีพิถันความสด-ใหม่-สะอาด หมั่นสังเกตสินค้าหมดอายุ
วิธีที่ 2 ปรับสภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรงตลอดเวลา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม รับมือภัยร้ายหน้าร้อน ที่กำลังย่างกรายใกล้เข้ามา จึงควรเตรียมฟิตซ้อมร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง ด้วยการหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ๆ ละ 30 นาที อย่างน้อย
การออกกำลังกายช่วงหน้าร้อน ต้องมีวิธีปฏิบัติสอดคล้องกับสภาวะอากาศร้อนอบอ้าว คือต้องไม่สวมเสื้อผ้าหนา และสีทึบ ควรเลือกเนื้อผ้าบาง-เบา ระบายความร้อนได้ดี สีอ่อน ไม่อมความร้อน
การออกกำลังกายช่วงหน้าร้อน ไม่ควรหักโหมมากเกินไป ที่สำคัญควรพักเหนื่อยบ่อย ๆ เป็นระยะ ๆ เมื่อหายเหนื่อยทุกครั้ง ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 4-6 แก้ว เพื่อทดแทนสูญเสียเหงื่อมากจากการออกกำลังกายช่วงหน้าร้อน

วิธีที่ 3. ปรับสภาพแวดล้อมในที่พักอาศัยให้เหมาะสม เช่น ที่พักอาศัยไม่มีเครื่องปรับอากาศ ให้ใช้วิธีเปิดประตู หน้าต่างมากบานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้อากาศ
ร้อนระบาย ถ่ายเทดี

วิธีที่ 4. ปรับพฤติกรรมเดินทางออกนอกบ้าน ควรหลีกเลี่ยงออกนอกบ้าน หรืออยู่กลางแดดวันที่อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00 น. จะดีที่สุด แต่หากจำเป็นต้องออกจากบ้านในภาวะอากาศร้อนอบอ้าวมาก ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว ขอแนะนำดื่มน้ำสะอาดเย็น ๆ สัก 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้าน
หลังจากออกจากบ้านแล้ว ควรหาจังหวะ และโอกาสที่จะดื่มน้ำสะอาด เพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียกับเหงื่อที่ไหลออกมากช่วงอากาศร้อนอบอ้าว การปฏิบัติเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อร่างกายทำให้ไม่อ่อนเพลีย

วิธีสุดท้าย หลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพราะสภาวะอากาศร้อนอบอ้าว แอลกอฮอล์จะซึมผ่านเข้าสู่กระแสโลหิตเร็ว และเพิ่มแรงดันโลหิตสูงขึ้น มากกว่าช่วงอากาศหนาวเย็น หรือช่วงปกติ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน จนถึงขั้นเกิดภาวะช็อกได้ หากร่างกายไม่ฟิต และไม่มีความสมบูรณ์มากพอ หรือผู้มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว เช่น เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ

โรคที่เกิดในหน้าร้อน

โรคที่เกิดในหน้าร้อน
เนื่องด้วยขณะนี้เป็นระยะที่ย่างเข้าสู่ฤดูร้อน
ซึ่งเป็นฤดูที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด
ดังนั้นในบางพื้นที่ของประเทศที่ประสบกับภาวะภัยแล้งในช่วงฤดูร้อนนี้อาจจะเกิดการระบาดของโรคติดต่อหลายช
นิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ บิด
ไข้รากสาดน้อย หรือ ไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ได้แก่ โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ
กรมควบคุมโรคมีความห่วงใยในสุขภาพและอนามัยของประชาชนในช่วง ฤดูร้อนเป็นอย่างยิ่ง
จึงใคร่ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของอาหาร น้ำดื่ม และภาชนะในการใส่อาหาร
ตลอดจนให้มีการใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะและขอแนะนำ ให้ทราบถึงอาการสำคัญและวิธีการป้องกันโรคที่เกิดใน
ฤดูร้อน ดังนี้

โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ
ก. สาเหตุ และอาการของโรค
1. โรคอุจจาระร่วง
เกิดจากเชื้อต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ
สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป อาการสำคัญ คือ
ถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด อาจมีอาเจียนร่วมด้วย อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย
จนกระทั่งอาการรุนแรงเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค

2. โรคอาหารเป็นพิษ
เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อซาลโมเนลล่า เชื้อรา เห็ด
หรือสารเคมีที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร
สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไปซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบๆ
จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่เป็ด ไข่ไก่
รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ ถ้าไม่ได้อุ่นให้ร้อนพอ เมื่อรับประทาน
อาหารนี้เข้าไปก็จะทำให้เป็นโรคนี้ได้ อาการสำคัญคือ มีไข้ ปวดท้อง
เนื่องจากเชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อย
ตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่ายมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้
และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เนื่องจากมีการติดเชื้อ และเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น
ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิต
จะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ

3. โรคบิด
เกิดจากเชื้อบิด ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียหรืออมีบา สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร
ผักดิบหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป อาการสำคัญ คือ ถ่ายอุจจาระบ่อย
อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องแบบปวดเบ่งร่วมด้วย และบางคนอาจเป็นโรคนี้แบบเรื้อรังได้

4. อหิวาตกโรค
เกิดจากเชื้ออหิวาตกโรคซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร
หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป
อาการเกิดขึ้น คือ ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมาก ๆ โดยไม่มีอาการปวดท้อง
ไปจนกระทั่งมีการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำซาวข้าว อาเจียนมาก และมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่ อย่างรวดเร็ว
คือ กระหายน้ำ กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย ตาลึกโหล ผิวหนังเหี่ยวย่น ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีปัสสาวะ
หายใจลึกผิดปกติ ชีพจรเต้นเบาเร็ว อาการเหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็ว ผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะช๊อค หมดสติ
เนื่องจากเสียน้ำ สำหรับในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงแก่ความตายในเวลาอันรวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที


5. ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย
เกิดจากเชื้อทัยฟอยด์ ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย
สามารถติดต่อได้โดยอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระและปัสสาวะของผู้ป่วย อาการสำคัญ คือ มีไข้ ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ผู้ป่วยอาจมีอาการท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสียได้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เรื้อรังจะมีเชื้อปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราว
ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นเป็นพาหะของโรคได้ ถ้าไปประกอบอาหารโดยไม่สะอาด หรือไม่สุก
ก็จะทำให้เชื้อไทฟอยด์แพร่ไปสู่ผู้อื่นได้
โรคติดต่อทางอาหารและน้ำดังกล่าวข้างต้น แม้ว่าจะมีสาเหตุของการเกิดโรคต่างกัน
แต่จะมีวิธีการติดต่อที่คล้ายคลึงกัน คือ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ
ที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม
หรืออาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืน โดยไม่ได้แช่เย็นไว้ และไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน
ทั้งนี้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวข้างต้น สามารถแพร่เชื้อได้ทางอุจจาระ
และหากเป็นผู้ประกอบอาหารหรือพนักงานเสริฟอาหารก็จะมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้มาก

ข. การรักษา
1. ในระยะเริ่มแรกที่มีอาการท้องเดิน หรืออาเจียนเล็กน้อยควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ
หรืออาหารเหลวที่มีอยู่ในบ้านมากๆ โดยอาจเป็นน้ำชา น้ำข้าว น้ำแกงจืด น้ำผลไม้ หรือข้าวต้ม
และให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) ในสัดส่วนที่ถูกต้อง โดยใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซอง
ผสมกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม หรือเตรียมสารละลายเกลือแร่เอง โดยการผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม
และให้ผู้ป่วยดื่มบ่อยๆ เพื่อเป็นการทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป เนื่องจากการถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง
สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ที่ผสมแล้ว ควรดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ถ้าเหลือให้เททิ้ง แล้วผสมใหม่วันต่อวัน
การรักษาดังกล่าวนี้ จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยยังถ่ายบ่อย และมีอาการมากขึ้น เช่น
อาเจียนมากขึ้น ไข้สูงหรือชักหรือเกิดอาการขาดน้ำ ควรนำไปตรวจรักษาที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานีอนามัย
หรือโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านโดยเร็วต่อไป

2. เด็กที่ดื่มนมแม่ ให้ดื่มนมแม่ต่อไป ร่วมกับป้อนสารละลายน้ำตาลเกลือแร่บ่อยๆ
สำหรับเด็กที่ดื่มนมผง ให้ผสมนมตามปกติ
แต่ให้ดื่มเพียงครึ่งเดียวของปริมาณที่เคยดื่มแล้วให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่สลับกันไป
(ไม่ควรผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ลงในนมผสม)
3. เริ่มให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม ภายใน 4 ชั่วโมง
หลังจากดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เพื่อช่วยให้ลำไส้ได้อาหารและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
4. หยุดให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น เช่น ถ่ายน้อยลงแล้วเป็นต้น
หลังจากนั้นให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย โดยกินครั้งละน้อยๆ และเพิ่มจำนวนมื้อ
5. ไม่ควรกินยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคยังคงอยู่ในร่างกาย
ซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น
6. การใช้ยาปฏิชีวนะ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์

ค. การป้องกัน
1. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร รับประทานอาหาร หรือก่อนเตรียมนมให้เด็ก
และภายหลังจากการเข้าห้องน้ำ หรือห้องส้วมทุกครั้ง
2. ดื่มน้ำที่สะอาด หรือน้ำต้มสุก และรับประทานอาหารที่สะอาด และสุกใหม่ๆ
ไม่ควรรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม
หากต้องการจะเก็บรักษาอาหารที่ปรุงสุกแล้วไว้รับประทานในวันต่อไปควรใส่ไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด
และเก็บไว้ในตู้เย็น และนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง
3. สำหรับผู้ประกอบอาหาร และพนักงานเสริฟอาหาร ควรหมั่นล้างมือก่อนจับต้องอาหารทุกครั้ง
และดูแลรักษาความสะอาดภายในครัว และอุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบอาหาร ตลอดจนกำจัดขยะมูลฝอย
และเศษอาหารทุกวัน และหากมีอาการอุจจาระร่วง ควรหยุดปฏิบัติงานจนกว่าจะหายหรือตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ
4. กำจัดขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูลรอบๆ บริเวณบ้าน และถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
(ส้วมซึม) เพื่อมิให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

5. ผู้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานฆ่าสัตว์ จำหน่ายเนื้อสัตว์
รวมไปถึงร้านอาหารทุกประเภท ควรดูแลสุขภาพอนามัยของสัตว์เลี้ยงไม่ให้เป็นโรคติดต่อ
และหมั่นทำความสะอาดสถานที่ประกอบการ และกำจัดขยะมูลฝอยบริเวณโดยรอบ
เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน
6. สำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ควรจัดให้มีน้ำดื่มที่สะอาด มีส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
มีการกำจัดขยะมูลฝอย และน้ำเสียที่เหมาะสมในบริเวณชุมชนก่อสร้าง
ตลอดจนมีการให้สุขศึกษาแก่คนงานในการป้องกันโรค

6. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ
ก. สาเหตุและอาการของโรค เกิดจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า
เป็นโรคติดต่อจากสัตว์เลือดอุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมติดต่อมาสู่คน
โดยถูกสัตว์ที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือสัตว์เลียบริเวณที่มีแผลรอยข่วน
หรือน้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าตา ปาก จมูก สัตว์ที่นำโรคที่สำคัญที่สุด ได้แก่
สุนัขรองลงมาคือแมว และอาจพบในสัตว์อื่น ๆ หลายชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ม้า วัว ควาย และสัตว์ป่า
เช่น ลิง ชะนี กระรอก กระแต เป็นต้น เมื่อคนได้รับเชื้อแล้ว และไม่ได้รับการป้องกันที่ถูกต้อง
ส่วนใหญ่จะมีอาการปรากฏ หลังจากการรับเชื้อ 15 - 60 วัน หรือบางรายอาจนานเป็นปี ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้
ขณะนี้ยังไม่มียารักษาได้ ผู้ป่วยต้องเสียชีวิตทุกราย ฉะนั้น การป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

อาการที่สำคัญของโรคในคน เริ่มด้วยอาการปวดศีรษะ มีไข้ต่ำๆ เจ็บคอปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร
อ่อนเพลีย อาการที่พบบ่อยๆ คือคันบริเวณบาดแผลที่ถูกกัด ซึ่งแผลอาจหายสนิทไปนานแล้วต่อมาลุกลามไปที่อื่น
ๆ ผู้ป่วยจะเกามากจนเลือดออกซิบ ๆ และมีอาการกลืนลำบาก
เพราะกล้ามเนื้อที่ลำคอและกล่องเสียงหดและเกร็งตัว อยากดื่มน้ำ แต่กลืนไม่ได้ทำให้มีอาการกลัวน้ำ
น้ำลายฟูมปาก บ้วนน้ำลายบ่อย กระวนกระวาย ตื่นเต้น ใจคอหงุดหงิด หายใจเร็ว
ประสาทสัมผัสจะไวต่อการกระตุ้น ทำให้ตกใจง่ายและสะดุ้งผวาเมื่อถูกลม หรือได้ยินเสียงดัง
กล้ามเนื้อแขนขาเกร็งกระตุก ระยะหลังจะเป็นอัมพาตหมดสติ และเสียชีวิตภายใน 2-7 วัน
นับจากเริ่มแสดงอาการ
วิธีสังเกตสุนัขหรือแมวที่เป็นโรคกลัวน้ำ คือ ระยะแรก สัตว์จะมีนิสัยผิดไปจากเดิม ต่อมาจะมีอาการ
ตื่นเต้น ตกใจง่าย กระวนกระวาย กระโดดงับลมหรือแมลง กินของแปลกๆเช่น เศษไม้ หิน ดิน ทราย
กัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า กินอาหารได้น้อยลง ม่านตาเบิกขยาย และจะไวต่อแสงและเสียง
เสียงเห่าหอนผิดปกติ หลังแข็ง หางตก ลิ้นห้อย เนื่องจากเริ่มเป็นอัมพาต โดยคางจะห้อย น้ำลายไหลซึม
กลืนไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากค้าง ขาสั่น เดินไม่มั่นคง อัมพาตจะลุกลามไปทั่วตัว แล้วจะล้มลง
ชัก และตายภายใน 10 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มแสดงอาการ
อย่างไรก็ตามสัตว์บางตัวอาจมีอาการซึมแสดงอาการระยะตื่นเต้นสั้นหรือไม่แสดงอาการ ซุกซ่อนตัวอยู่ในที่มืด
เย็นและเงียบๆ ไม่กินอาหาร เอาเท้าตะกรุยคอ คล้ายกระดูกติดคอ
โดยไม่มีอาการดุร้ายให้เห็นจะกัดคนต่อเมื่อถูกรบกวน

ข. การป้องกัน
1. นำสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าปีละครั้ง แต่สุนัขที่
ฉีดวัคซีนครั้งแรกควรฉีด 2 ครั้ง (ห่างกัน 1-3 เดือน) ตาม
พ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้ากำหนดให้เจ้าของต้องนำสุนัขไปรับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่อสุนัขอายุ 2-4 เดือน
2. สอนลูกหลาน ไม่ให้เล่นคลุกคลีกับสุนัข หรือสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
หรือไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน ควรนำสัตว์ที่นำมาเลี้ยงไปรับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด
เพราะสัตว์ที่ได้รับวัคซีนถูกต้องแล้วประมาณ 1 เดือน จึงจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้
และถ้าไม่ต้องการให้สุนัขมีลูก ควรนำไปคุมกำเนิด เช่น ทำหมัน ฉีดยาคุม
3. ควรทิ้งขยะ เศษอาหาร ในที่ที่มีฝาปิดมิดชิด หรือ กำจัดโดยการฝัง หรือเผา
เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของสุนัขจรจัด
และควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการกำจัดสุนัขไม่มีเจ้าของ
4. เมื่อถูกสุนัข หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด หลาย ๆ
ครั้ง เช็ดให้แห้งแล้วใส่สารละลายไอโอดีนที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น โพวีโดนไอโอดีน
หรือยารักษาแผลสดอื่น ๆ แทน พร้อมทั้งติดตามหาเจ้าของสุนัขที่กัดเพื่อสอบถามประวัติอาการ
และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า แล้วรีบไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ใกล้ ที่สุด
เพื่อรับคำแนะนำ ในการฉีดวัคซีน และอิมมูโนโกบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
และถ้าต้องได้รับการฉีดวัคซีนและ
อิมมูโนโกบุลินจะต้องไปให้ครบตามนัดหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำโดยเคร่งครัด

5. ควรกักขังสุนัขหรือแมวที่กัดไว้เพื่อดูอาการ
ถ้าเป็นสัตว์ที่มีอาการปกติให้กักขังไว้ดูอาการอย่างน้อย 10 วัน โดยในระหว่างนี้ ควรให้อาหาร
และน้ำตามปกติแต่ต้องระมัดระวัง และไม่คลุกคลีด้วย ถ้าสัตว์มีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที
และถ้าสัตว์ตาย ในระหว่างนี้ให้ตัดหัวส่งตรวจ แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่มีอาการชัดเจน หรือเป็นสัตว์ป่า
หรือสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ และกักขังไม่ได้ให้ฆ่าทันทีแล้วรีบตัดหัวส่งตรวจ
ทั้งนี้โปรดระวังอย่าฆ่าสัตว์โดยทำให้สมองเละ เพราะจะทำให้ตรวจไม่ได้
และในการตัดหัวสัตว์ส่งตรวจนั้นควรสวมถุงมือกันน้ำ หรือใช้ถุงพลาสติกหุ้มมือ ขณะทำการตัด
(ผู้ที่มีบาดแผลที่มือไม่ควรแตะต้องสัตว์นั้น) แล้วนำถุงพลาสติกครอบส่วนหัวสุนัขก่อนใช้มีดคม ๆ
ตัดตรงรอยข้อต่อระหว่างหัวกับคอ รวบถุงพลาสติกที่ครอบส่วนหัวสุนัขไว้ และนำใส่ลงในถุงพลาสติกหนาๆ
อีกชั้นหนึ่ง ไม่ควรใช้มีดปังตอ หรือขวานสับ เพราะเชื้ออาจกระเด็นเข้าปากและตาได้
ใส่หัวสัตว์ลงในถุงพลาสติก รัดปากถุงให้แน่น และใส่ภาชนะที่มีความเย็น เช่น กระติกที่มีน้ำแข็งอยู่
เพื่อกันไม่ให้เน่า รีบส่งห้องปฏิบัติการตรวจโรคพิษสุนัขบ้าทันที
6. เมื่อพบเห็นสุนัข
หรือสัตว์มีอาการที่คิดว่าจะเป็นโรคนี้ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
หรือเทศบาลทราบโดยด่วน เพื่อดำเนินการกำจัด โดยการติดตามสุนัขและคนที่ถูกสุนัขตัวดังกล่าวกัด ข่วน
และควบคุมโรคในสัตว์ในบริเวณโดยรอบ
7. ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการที่คิดว่าจะเป็นโรคนี้ ให้รีบแจ้งศูนย์บริการสาธารณสุข หรือสถานีอนามัย
หรือโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการสอบสวนหาแหล่งของโรค และดำเนินการควบคุมโรคโดยเร็วต่อไป

toommin

>

kookkiknaja

>

yamasoon



xchanchai

กัลนาณี

>

nu-karn1004

>

fonultra

>

kikkok

>

neno

>

dekdorn

>

Inuoum

>

toonny

>

meepooh

>

พยาบาลน้อย

>

netnapa

>

ohmochang

>

Bebee

>

thitimaketka

>

Bonnytum

>

poom

>

suger

>

ศิริวรรณ

>

เด็กรัฐศาสตร์

>

thitimaketka

>

sudaphon

>

คิน แชยอง

>

Mr.Sompong

>

wasna

>

Namfon

>

wanida

March

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

YouTube

assign2


1.บอกเวลา
1.1 www.timeanddate.com/worldclock/
2.รูป
1.2 http://maps.google.com/maps
อุณหภูมิ
1.3 http://weather.yahoo.com