วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หวี..กับการดูแลเส้นผม


หวี..กับการดูแลเส้นผม


เส้นผมของคนเรานั้นเป็นเซลล์ของร่างกายที่ตายแล้ว แต่ที่ยังเห็นคงสภาพอยู่ได้นานก็เพราะมันมีความแข็งแรงของเซลล์อยู่ เส้นผมนั้นไม่จำเป็นต้องให้การบำรุงด้วยสารอาหารจากแชมพู เพราะจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเสียเงินเปล่า แชมพูมีหน้าที่เพียงแค่ทำความสะอาดเส้นผม ซึ่งหมักหมมจากเหงื่อ ฝุ่น ควันต่าง ๆ นั่นเอง

อีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยให้เส้นผมของคุณ ไม่ยุ่งหรือพันกัน ก็คือการหวีการหวี ซึ่งยังช่วยจัดรูปทรงให้กับผมอีกด้วย บางครั้งยังมีความเชื่อกันด้วยว่า ถ้าได้แปรงผมวันละหลาย ๆ ครั้งจะทำให้ผมสวยเงางาม ความจริงก็คือ การแปรงผมจะทำให้น้ำมันธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนเส้นผมได้กระจายไปทั่ว ผมจึงดูเงางาม

แต่ผมของคนเราก็มีหลายแบบ หยิก เหยียดตรง เส้นเล็ก ซอยสั้น หยิกยาว ผมหนา ฯลฯ ต่างกันไปตามพันธุกรรมหรือการจัดแต่งตามแฟชั่น แล้วจะเลือกหวีหรือแปรงอย่างไรให้เหมาะสมกับผมของเรา

เส้นผมของคุณ ควรเลือกหวีแบบไหนดี

คนผมหนาและผมเส้นใหญ่ : หวีที่ใช้ควรเลือกที่ซี่ห่าง ๆ ถ้าเป็นแปรงควรเลือกที่มีปุ่มนวดหนังศีรษะทำด้วยยาง ดูไม่ให้แข็งเกินไป

คนผมเส้นเล็กบาง : หวีที่ใช้ควรมีซี่ที่ถี่พอควรและไม่แข็งจนเกินไป แปรงควรเลือก ที่มีขนแปรงห่างเพื่อกันไม่ให้เวลาแปรงผมแล้วผมขาดง่าย

คนผมเหยียดตรง : เลือกแปรงที่มีแผ่นรองยางและขนแปรงมีปุ่มตรงปลาย เลือกที่มีด้ามจับถนัดมือจะได้ไม่ลื่นหลุดง่าย

คนผมซอยหรือผมสั้น : เลือกใช้แปรงกลมที่ไว้สำหรับม้วนผม เพราะจะช่วยให้ผมปัดเข้ารูปได้ง่าย

ผมหยิก ผมดัดหยิก : ที่จริงไม่ควรแปรงผมเพราะจะทำให้เสียทรง แต่ถ้าจะเลือกใช้แปรง ให้ลองหาแปรงที่ทำจากขนหมูป่า จะทำให้แปรงได้ง่ายขึ้น

คำแนะนำสำหรับการใช้หวี

1.หวีควรเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่ใช้หวีร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อรา

2.หลีกเลี่ยงหวีที่มีปลายแหลมคม เพราะจะทำให้ผิวหนังที่ศีรษะเป็นแผลได้

3.ควรล้างทำความสะอาดหวีและแปรงอย่างสม่ำเสมอ แล้วตากแดดให้แห้งสนิทจึงนำมาใช้ใหม่

4.ไม่ควรหวีผมขณะผมเปียก จะทำให้เส้นผมขาดง่าย เพราะสภาพผมที่เปียกน้ำผมจะพันกันยุ่งเหยิง เว้นแต่คุณใช้ครีมนวดผม อาจใช้หวีซี่ห่าง ๆ แปรงให้เส้นผมได้รับครีมนวดทั่วถึง

เคล็ดลับหน้าใส

เคล็ดลับหน้าใส


เคล็ดลับ หน้าใส ยุคนี้สมัยนี้เทรนด์หน้าใสกำลังมาแรงไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรืออายุจะล่วงเลยวัยกระเตาะมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ใครบ้างล่ะอยากแก่แถมใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเxxx่ยวย่น หากไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัยและคงความหน้าใสให้ยาวนานที่สุดวันนี้เรามี 11 เคล็ดลับวิชาหน้าใสมาฝากกันดังนี้

เคล็ดลับ หน้าใส 1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มากนัก ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานอย่างไม่หยุดพัก ถึงใจยังสู้แต่สังขารอาจไม่ไหว นอนแต่หัวค่ำดีกว่า

เคล็ดลับ หน้าใส 2. ดื่มน้ำมากๆให้ได้วันละ 6 8 แก้ว หรือหากคุณดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ยิ่งจะดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและกัดกระเพาะจนคุณปวดท้องได้

เคล็ดลับ หน้าใส 3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆแค่พูดว่า อา อี เอ โอ อู ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้า หน้าจะได้ไม่เxxx่ยวย่น

เคล็ดลับ หน้าใส 4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุค่ะ ถ้าใครเถียงหละก็... ขอท้าให้คุณสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆดูว่าคุณกับเพื่อนใครแก่กว่ากัน

เคล็ดลับ หน้าใส5. อย่าตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัว หากต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน

เคล็ดลับ หน้าใส 6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียวหนาวจัดตลอดปีตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับอุณหภูมิบ้างเถอะค่ะ

เคล็ดลับ หน้าใส 7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิว เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูเครียดและแก่ได้โดยเฉพาะบรรดาผิวโลกดวงจันทร์ทั้งหลาย

เคล็ดลับ หน้าใส 8. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม

เคล็ดลับ หน้าใส 9. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน จำไว้ว่างทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงานหรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆมาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นได้

เคล็ดลับ หน้าใส 10. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย ให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิวให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้

เคล็ดลับ หน้าใส 11. หากมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน

เคล็ดลับสุขภาพดี........


สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้


5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม


15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
<


http://women.thaiza.com/detail_60750.html

อยู่คนเดียวบ้างก็ดีนะ


"ฉันชอบอยู่บ้านคนเดียว ชอบดูทีวีคนเดียว กินข้าวคนเดียว หรือแม้กระทั่งไปดูหนัง เดินเล่นคนเดียวในวันหยุด" ถ้าเป็นคุณ คุณคิดว่าพฤติกรรมของสาวคนนี้ดูขมขื่นไปมั้ย


หากคำตอบ คือ ใช่ เราขอให้คุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนที่มีปัญหา ไม่มีคนคบ แต่นั่นอาจเป็นวิธีสำหรับคนฉลาดในการรู้จักให้เวลากับตัวเองก็ได้

"การอยู่คนเดียว" ในที่นี่ ไม่ได้หมายรวมถึงว่า คุณต้องปฏิเสธการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นถือเป็นด้านหนึ่งที่สำคัญของชีวิต ขณะที่เราต้องรู้จัก

1. เพื่อค้นพบตัวเอง

การใช้เวลาอยู่กับตัวเองทำให้คุณมีเวลาพอที่จะค้นหาตัวตน และเข้าใจความเป็นตัวคุณมากที่สุด บางครั้งคนเรามัวแต่ชื่นชมกับศาสตร์ที่พยายามจะเข้าใจคนอื่น แต่ลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าใจตัวเองต่างหาก รู้ว่าจริงๆแล้วเราชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยปราศจากอิทธิพลจากภายนอกมาเกี่ยวข้อง

2. เพิ่มความนับถือในตัวเอง

การอยู่คนเดียวเป็นการเพิ่มอิสระให้กับตัวคุณ รวมทั้งยิ่งถ้าคุณได้ใช้ความเป็นตัวคุณเลือกและตัดสินใจอะไรด้วยแล้ว จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจในตัวคุณไปอีก ซึ่งมันจะค่อยแทรกซึมไปสู่การใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ ของคุณด้วย โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น สร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณต้องรู้จักให้เวลากับตัวเองบ้าง





3.บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้การประนีประนอม

บ่อยครั้งที่คนเราพยายามใช้ความประนีประนอมเมื่อต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น เรามักจะอดทนทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อให้บรรลุข้อตกลงหรือเป้าหมายใด ๆ แทนการใช้เวลานั่งกินอาหารค่ำพร้อมดูรายการทีวีสุดโปรด เพราะบางครั้ง การใช้เวลากับตัวเองก็เหมือนการปล่อยให้เราได้ตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ต้องการ หรือสิ่งที่เรารักโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ

4.ทำให้ตัวเองกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง

จะมีซักวัยมั้ยที่คุณเลือกหลบหนีจากผู้คน เพื่อปลดปล่อยความเป็นตัวคุณ ทิ้งความเครียดไว้เบื้องหลัง แล้วพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วงเวลานั้นเหมือนเป็นการ รีสตาร์ท เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวคุณได้เข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่คนอื่นต่อต้าน

5.มีมุมมองที่สดใส

การอยู่กับตัวเองทำให้คุณมีเวลาที่จะชำระล้างจิตใจ สลัดความคิดทั้งปวง และเป็นการเปิดให้เห็นความรู้สึกที่มาจากใจของคุณ โดยปราศจากอิทธิพลของคนอื่น เป็นช่วงเวลาที่คุณจะได้สะท้อนดูว่าอะไรรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตของคุณ และจริง ๆ แล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ในชีวิตประวันที่คุณต้องเผชิญเป็นประจำ

6. เห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณรักมากขึ้น

การอยู่คนเดียวเป็นการปลดปล่อยตัวคุณให้มีช่วงเวลาที่จะได้ซาบซึ้งกับช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนอื่น ยิ่งถ้าคุณไม่เคยมีเวลาที่อยู่กับตัวเอง คุณย่อมปรารถนามัน ซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องหาสมดุลระหว่างมันให้ได้ เพราะหากคุณสามารถทำได้ คุณจะมีความสุขกับการมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น


ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วพบว่าการใช้เวลาอยู่กับตัวเองเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย แนะนำให้คุณเริ่มจากการใช้เวลาอยู่กับตัวเองวันละเล็กวันละน้อย เริ่มจากวันละ 1 นาทีจนเป็นชั่วโมง และหลังจากรฝึกฝนไปเรื่อย ๆ คุณจะพบว่ามันจะมาเองตามธรรมชาติในที่สุด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ไข้หวัดเม็กซิโก!! โรคใหม่แพร่ในคนสู่คน


โรคที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในคน แพร่ติดต่อระหว่างคนสู่คน ไม่พบว่ามีการติดต่อมาจากสุกร

เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 (A/H1N1) ซึ่งเป็นเชื้อตัวใหม่ที่ไม่เคยพบทั้งในสุกรและในคน เป็นเชื้อที่เกิดจากการผสมสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของสุกรเป็นส่วนใหญ่ และมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของคน และเชื้อไข้หวัดที่พบในนกด้วย ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุข เรียกชื่อโรคนี้ในเบื้องต้นว่า “โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโก” ไปก่อน จนกว่าองค์การอนามัยโลกจะกำหนดชื่ออย่างเป็นทางการออกมา

ทำความรู้จักและวิธีปฏิบัติเพื่อป้องกัน

1. ไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดตามข่าวอยู่ในขณะนี้ คือโรคอะไร
โรคที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในคน แพร่ติดต่อระหว่างคนสู่คน ไม่พบว่ามีการติดต่อมาจากสุกร เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 (A/H1N1) ซึ่งเป็นเชื้อตัวใหม่ที่ไม่เคยพบทั้งในสุกรและในคน เป็นเชื้อที่เกิดจากการผสมสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของสุกรเป็นส่วนใหญ่ และมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของคน และเชื้อไข้หวัดที่พบในนกด้วย ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเรียกชื่อโรคนี้ในเบื้องต้นว่า “โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโก” ไปก่อน จนกว่าองค์การอนามัยโลกจะกำหนดชื่ออย่างเป็นทางการออกมา
2. เกิดการระบาดขึ้นที่ประเทศใดบ้าง
ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2552 เป็นต้นมา เริ่มพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และผู้ป่วยปอดบวม จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (ณ วันที่ 26 เมษายน 2552) มีผู้ป่วยที่สามารถยืนยันทางห้องปฏิบัติการได้ว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ 18 ราย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขเม็กซิโกรายงานว่ามีผู้ป่วย 1,614 ราย เสียชีวิต 103 ราย ส่วนในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เดียวกัน 20 ราย ใน 5 มลรัฐ ได้แก่ รัฐแคลิฟอร์เนีย 7 ราย เท็กซัส 2 ราย ซึ่งทั้ง 2 รัฐนี้มีชายแดนติดกับประเทศเม็กซิโก รัฐนิวยอร์ก 8 ราย แคนซัส 2 ราย โอไฮโอ 1 ราย ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง และไม่มีผู้เสียชีวิต

3. เคยพบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีในประเทศไทยหรือไม่
จากระบบการเฝ้าระวังโรคของประเทศ ทั้งการเฝ้าระวังผู้ป่วยและการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ ไม่เคยพบเชื้อดังกล่าวนี้ในประเทศไทย

4. คนติดโรคนี้ได้อย่างไร
คนส่วนใหญ่ติดโรคไข้หวัดใหญ่จากการถูกผู้ป่วยไอจามรดโดยตรง เนื่องจากมีเชื้อไวรัสอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แต่บางรายอาจได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ลูกบิดประตู โทรศัพท์ แก้วน้ำ เป็นต้น

5. ขณะนี้สามารถรับประทานเนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์จากหมู ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
รับประทานได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากเชื้อไว้รัสไข้หวัดใหญ่จะถูกทำลายได้ด้วยความร้อนจากการปรุงอาหารที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป และจากการสอบสวนโรคไม่เคยพบผู้ป่วยติดโรคจาการรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุก

6. อาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มีอะไรบ้าง
อาการใกล้เคียงกับอาการโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบตามปกติ เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ อาจมีอาเจียน ท้องเสียด้วย ผู้ป่วยที่สหรัฐมีอาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่หายป่วยโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ผู้ป่วยหลายรายในเม็กซิโก มีอาการปอดอักเสบรุนแรง (หอบ หายใจลำบาก) และเสียชีวิต

7. มียาชนิดใดบ้างที่สามารถรักษาโรคนี้ได้
ยาต้านไวรัสซึ่งใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่นี้ได้ผล คือ ยา oseltamivir เป็นยาชนิดกิน และยา zanamivir เป็นยาชนิดพ่น แต่ผลการตรวจเชื้อไวรัสนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าเชื้อนี้ดื้อต่อยาต้านไวรัส amantadine และ rimantadine

8. ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ในไทย ขณะนี้มีพอเพียงหรือไม่
ประเทศไทยได้สำรองยานี้ไว้พอเพียงสำหรับการรักษาผู้ป่วย ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้สำรองยาที่นี้ไว้ พอเพียงเพื่อการควบคุมการระบาดจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ณ จุดเกิดเหตุ โดยองค์การเภสัชกรรมผลิตยา GPO-A-Flu และ พร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตสูงสุดหากเกิดการระบาดใหญ่

9. มีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่นี้หรือไม่
ขณะนี้ยังไม่มี และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ผลิตใช้อยูในปัจจุบันไม่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ได้






10. คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ
1. หากไม่จำเป็น ควรเลื่อน หรือชะลอการเดินทางไปยังประเทศที่เป็นพื้นที่เกิด การ ระบาดจนกว่าสถานการณ์จะยุติลง

2. หากจำเป็นต้องเดินทางไปพื้นที่เกิดการระบาด ให้หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่มี อาการ ไอจาม หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อแนะนำของทางการในพื้นที่นั้นๆ อย่างเคร่งครัด

3. ผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่เกิดการระบาด ถ้ามีอาการของไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ภายใน 7 วันหลังจากเดินทางกลับ ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อ รับการรักษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตนอย่างเข้มงวด

4. สร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง โดย

4.1 รับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง

4.2 หมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการไอ จาม

4.3 นอนหลับ พักผ่อนให้พอเพียง

4.4 ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ

4.5 หากพบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ภายในบ้าน หรือสถานที่ทำงานเดียวกัน ต้องแจ้งสำนักงานสาธารณสุข เพื่อเข้าดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง





11. กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการดำเนินการป้องกันควบคุมโรคนี้อย่างไรบ้าง
มาตรการสำคัญ ได้แก่ การเร่งรัดและเพิ่มระดับความเข้มข้นการเฝ้าระวังโรคกลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบรุนแรง และการตรวจยืนยันเชื้อทางห้องปฏิบัติการ การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย สำรองเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิผู้เดินทาง (Infrared Thermo Scanner) ที่สนามบินนานาชาติ และการสื่อสารความเสี่ยง การให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ และให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน โดยศูนย์ฮ็อตไลน์ โทร. 02-590-3333 ตลอด 24 ชั่วโมง จัดทำข่าวแจก จัดการแถลงข่าว และจัดทำคำแนะนำประชาชนเผยแพร่ทางเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข (www.moph.go.th) และ สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ (http:// beid.ddc.moph.go.th)

เนื่องจากเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ และข้อมูลการสอบสวนโรค บ่งชี้ว่า การระบาดเป็นการติดต่อจากคนสู่คน และมีผู้เสียชีวิต ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดการระบาดใหญ่ขยายตัวไปประเทศอื่น

องค์การอนามัยโลกกำลังส่งผู้เชี่ยวชาญประสานงานป้องกันควบคุมโรคร่วมกับรัฐบาลเม็กซิโก รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโก เป็นภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern : PHEIC ). เมื่อวันที่ 25 เม.ย.52 และได้ประกาศปรับระยะการระบาดจากเดิม ระดับ 3 เป็นระดับ 4 เมื่อวันที่ 27 เม.ย.52 พร้อมทั้งแนะนำมาตรการว่า ยังไม่มีการจำกัดการเดินทางหรือปิดพรมแดน
หากประชาชนมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ ควรเลื่อนการเดินทางระหว่างประเทศและหากเริ่มป่วยหลังจากการเดินทางระหว่างประเทศ ควรไปพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ การบริโภคเนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์จากหมูที่ปรุงสุก ไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ประชาชนทั่วไปควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำ บ่อยๆ และหากเริ่มมีอาการป่วย ควรไปพบแพทย์

สำหรับประเทศไทย จากการเฝ้าระวังโรคของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงขณะนี้ พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ จำนวน 3,159 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต

ซึ่งไม่แตกต่างกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2551 และจากการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ ในประเทศไทยยังไม่เคยพบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ดังกล่าว

ในการรายงานโรคนี้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Swine Flu” หรือไข้หวัดใหญ่สุกร โดยปกติแล้ว ไข้หวัดใหญ่สุกรเป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นในสุกร มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หลายชนิด เช่น H1N1, H1N2, H3N1, H3N2 และแต่ละชนิดมีหลากหลายสายพันธุ์ ตามปกติการเกิดโรคในสุกร บางครั้งอาจมีผู้ติดเชื้อจากสุกรและป่วยซึ่งไม่บ่อยนัก การติดเชื้อเกิดโดย คนหายใจเอาละอองฝอยเมื่อสุกรไอ หรือจาม เข้าไป หรือการสัมผัสกับสุกร หรือสิ่งแวดล้อมที่สุกรอาศัยอยู่

อย่างไรก็ตามเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโกนี้ ผลการตรวจวิเคราะห์ในระดับพันธุกรรม พบว่า เป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่พบในคน ซึ่งยังไม่เคยพบในสุกรมาก่อน และการระบาดดังกล่าว ไม่มีรายงานโรคนี้ระบาดในสุกรทั้งในประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา และผลการสอบสวนโรค ไม่พบผู้ใดติดโรคจากสุกร หากแต่เป็นการแพร่กระจายโรคอย่างรวดเร็วจากคนสู่คน เชื้อนี้มีความไวต่อยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และคาดว่า วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลของคน ซึ่งมีสายพันธุ์ H1N1 ประกอบอยู่ด้วย ไม่สามารถใช้ป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ได้

"กินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ"


http://variety.teenee.com/foodforbrain/14464.html

อันตรายจากบิ๊กอายส์


คอนแท็กต์เลนส์เมื่อก่อนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อปรับสายตาสำหรับผู้ที่สายตามีปัญหาเท่านั้น แต่ในปัจจุบันคอนแท็กต์เลนส์กลายเป็นเรื่องแฟชั่นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น มีหลายประเภททั้งบิ๊กอายส์ที่ทำให้ดวงตากลมโต หรือคอนแท็กต์เลนส์หลากสีสันเพื่อเปลี่ยนสีตา มีหลายราคาให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยไปนถึงหลักพัน หาซื้อได้ง่ายตามแผงลอยแหล่งแฟชั่นทั่วไป หรือแม้กระทั่งสั่งซื้อทางอินเตอร์เนต


ความจริงแล้วเป็นเรื่องอันตรายมาก ที่ถูกควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสภาพสายตาว่ามีปัญหาเพียงใด ไม่ควรหามาใส่เอง แพทย์เตือนคนสายตาปกติว่าไม่ควรใช้คอนแท็กต์เลนส์ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตามควรคำนึงว่า คอนแท็กต์เลนส์นั้นต้องสัมผัสกับดวงตาของเราโดยตรง ดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางมาก อาจทำให้เกิดปัญหาเคืองตา คันตา เกิดรอยแผล อาจถึงขั้นติดเชื้อหากไม่รักษาความสะอาดดีพอ หรืออาจสูญเสียกระจกตาถาวรเลยก็เป็นได้


การรักษาความสะอาดก็สำคัญ ต้องถอดล้างทำความสะอาดอย่างดีรวมถึงต้องล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ ภาชนะที่เก็บเลนส์ต้องสะอาดอยู่เสมอเปลี่ยนเลนส์ตามระยะที่กำหนด และห้ามใส่คอนแท็กต์เลนส์นอน แม้ผู้ผลิตจะบอกว่าใสได้นานต่อเนื่องก็ตามและที่สำคัญห้ามใช้คอนแท็กต์เลนส์ร่วมกับผู้อื่น หากเกิดปัญหาค่ารักษาตาแพงกว่าราคาเลนส์หลายเท่านัก แลกกับความสวยงามเพียงชั่วครู่ เสี่ยงกับการสูญเสียดวงตาถาวร มันไม่คุ้ม


http://variety.teenee.com/foodforbrain/14467.html

นิ สั ย แ บ บ อ ย่ า ง


นิ สั ย แ บ บ อ ย่ า ง
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร)

“บรรดาคณาทา รกย่อมนิยมมาน
ผู้ใหญ่จะกอปรการ กิจชั่วและดีใด
เด็กยลก็โดยแยบ ดุจแบบระเบียบใน
นั้นเนื่องนิสัยไป ตลอดชีพบ่เว้นวาง”

(จากธรรมจริยา)



ท่านสาธุชนผู้รักแบบอย่างทั้งหลาย
ตัวอย่างที่ควรยกมาอ้างเป็นบรรทัดฐาน
ให้เห็นคุณและโทษของบุคคลหรือสิ่งต่างๆ
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเราอยู่ ๒ ประการ

คือส่วนดีและส่วนเลว เรียกว่า “แบบอย่าง”

อันแบบอย่างทั้งส่วนดีและส่วนเลวนั้นย่อมเป็นครูสอนดีที่สุด
แม้เพียงแต่มีไว้ให้คนได้พบเห็นอยู่เสมอ
โดยเราไม่ต้องใช้ปากสั่งสอนเลย
ก็จะก่อให้เกิดความเคยชินในทางดีเลว
ตามแบบอย่างจนติดตาจับใจอยู่ได้ตลอดชั่วชีวิต

เราชาวโลกทั้งชายหญิง จะดีย่อมอยู่ที่แบบอย่างดี
แม้จะเลวก็อยู่ที่แบบอย่างเลว
จริงอยู่คำสั่งสอนของนักปราชญ์นั้นดีแสนดี
แต่อาศัยเสียงที่สั่งสอนอย่างเดียวโดยไม่มีแบบอย่างไว้ให้แลเห็นด้วย
ก็ไม่สู้จะมีอำนาจทำประโยชน์ให้ได้มากนัก

ตรงกับคำโบราณว่า

“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ”

สิบรู้ไป่เปรียบได้ ชำนาญ หนึ่งนา
เห็นหนึ่งสิบข่าวสาร ไป่แม้น
สิบตาเพ่งดูการ ห่อนแน่ นอนเฮย
มือหนึ่งจับแน่นแฟ้น ยิ่งรู้สมประสงค์

จริงทีเดียว คนเรามักเรียนจากตามากกว่าจากหู
สิ่งที่ปรากฎเห็นด้วยตา
ย่อมจับใจแม่นกว่าอ่านพบหรือได้ยินเขาเล่าบอก
คนเราที่อยู่ในวัยเด็กต้องอาศัยตา
เป็นทางนำความรู้เข้ามามากกว่าประสาทอื่นๆ

เรามักจะเห็นเด็กทำตามผู้ใหญ่อยู่เสมอ
เช่นเมื่อผู้ใหญ่ยกมือไหว้หรือก้มลงกราบพระ
เด็กก็พลอยทำตามอย่างที่ผู้ใหญ่ทำ
คนผู้ครองชีพชอบทำ แม้จะไม่พูดแนะนำใครเลย
ก็อาจเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นได้ดีกว่าผู้พูดดีแต่ประพฤติชั่วหลายเท่า

ดังนั้น ผู้สอนที่ดีชั้นเยี่ยม
จึงนิยมการให้แบบอย่างมากกว่าการบอกเล่ากล่าวสอน
ถือว่าส่วนดีที่สุดแห่งการให้แบบอย่าง
อยู่ที่เมื่อตนให้แบบอย่างแล้ว
ตนต้องลงมือทำตามแบบอย่างของตนเอง
เพื่อเป็นอุบายจูงใจ ให้ผู้เอาอย่างเกิดฉันทะสมัครทำตาม

เพราะว่าแบบอย่างที่แสดงออกมาให้เห็นทั้งหลาย
ย่อมเป็นครูสอนดีที่สุด
ซึ่งแม้จะไม่มีปากสั่งสอนก็ยังไม่มีครูอื่นใดสู้ได้

แบบอย่างที่เข้าถึงนิสัยแล้ว จัดเป็น จิตเลขา
คือเขียนฝากไว้ในจิตใจ
เหมือนหล่อเป็นตัวอักษรในแผ่นทองเก็บไว้อย่างถาวร
ย่อมมีผลศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าคำพูด ได้ในคำโบราณว่า

“หนึ่งเฟื้องของการทำให้เป็นแบบอย่าง
มีค่าเท่ากับหนึ่งหาบของการสั่งสอนด้วยปาก”

นี่คือความจริงอันขุดจากความจริง
เพราะสิ่งที่เราทำพูดดังกว่าสิ่งที่เราพูด
คำพูดเสมือนหนึ่งใบไม้ การทำเสมือนหนึ่งผลไม้
ซึ่งแสดงความหมายลึกซึ้งกว่ากัน


ที่มา : palungjit

http://variety.teenee.com/foodforbrain/13900.html

คติสอนใจ..จากไม้ขีดไฟ เพียงอันเดียว


คติสอนใจ..จากไม้ขีดไฟ เพียงอันเดียว


ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ

ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา

เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ

บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก

เพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ

เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน

ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น

ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด

ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา

บางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน

และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว

จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา

เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง

ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ

ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด

บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ

ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้

เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ

ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว

แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง

ก็จำเป็นที่จะต้องจากไป

แต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้

แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้าง

และบางที

ก้านไม้ขีดไฟอันนี้…ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต

เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืน

ในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า

ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ

แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น

นานวันเข้า..นานวันเข้า

ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด

พอถึงวันนั้น..

คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป...


http://variety.teenee.com/foodforbrain/13783.html

สิ่งที่ ต้องทำ สิ่งที่ น่าทำ


สิ่งที่ ต้องทำ สิ่งที่ น่าทำ


วันหนึ่งก็จบสิ้นลงแล้วด้วยความรวดเร็ว..

แต่ละวันดูสั้นลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยากทำมีมากขึ้นทุกวัน

ยี่สิบสี่ชั่วโมงดูจะน้อยไป หากมีมากกว่านั้นในแต่ละวัน...ก็คงจะดี

แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า...เวลาน้อยลงหรือมีอะไรทำมากขึ้น?...

คำตอบก็คงหาได้ไม่ยาก...

สิ่งที่เป็นหน้าที่ประจำ ที่สอดแทรกเข้ามาตามสถานการณ์ ที่เสนอตัวเข้ามา..

เหล่านี้แหละตัวปริมาณของงานที่ทะลักเข้ามา..จนอยากจะมีสักสิบมือ..

ในเมื่อเวลาดูจะน้อย..และสิ่งที่ต้องทำมีมาก ก็คงต้องทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้..

ในแต่ละวัน...วันไหนทำได้มาก..ก็รู้สึกว่าวันนั้นคุ้มค่า

วันไหนทำได้น้อย..ก็อดหดหู่ใจไม่ได้..

ก็เลยเกิดความกดดัน..

หนักเข้าก็เลยกลายเป็นความเครียดลึก...

แล้วก็รู้สึกพาลไม่พอใจตัวเองเอาดื้อ ๆ ..

ที่สุดก็ต้องสรุปเอาง่าย ๆ ว่า..

แม้จะมีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่าง...แต่บางอย่างสำคัญมากกว่าอย่างอื่น ๆ ..

บางอย่างก็เป็นหน้าที่ที่ ต้องรับผิดชอบ...ไม่ทำไม่ได้..

อีกหลาย ๆ อย่าง...ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ก็ดี..ไม่ทำก็ไม่เป็นไร..

จะพูดให้ง่ายขึ้น...แต่ละวันมีสิ่งที่ " ต้อง" ทำ..และมีสิ่งที่ "น่า" ทำ..

และสิ่งที่น่าทำดูจะมีมากมายก่ายกอง...

เพราะเหตุนี้เอง แต่ละวันจึงดูสั้นเกินไป สำหรับสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่น่าทำ

แถมสิ่งที่ " น่า" ทำดูจะน่าสนใจกว่าสิ่งที่ "ต้อง" ทำเสียอีก

จนบ่อยครั้งมัวแต่เพลินกับสิ่งที่ " น่า" ทำ จนแทบไม่ได้ทำสิ่งที่ "ต้อง" ทำ

หรือใช้เวลามากกับสิ่งที่น่าทำ...จนสิ่งที่ต้องทำพลอยทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ที่ร้ายไปกว่านั้น เอาแต่สิ่งที่น่าทำ แล้วทิ้งสิ่งที่ต้องทำไปอย่างไร้ซึ่งความรับผิดชอบ

จริง ๆ แล้ว ยี่สิบสี่ชั่วโมงในแต่ละวัน..ดูเหมือนจะเพียงพอสำหรับสิ่งที่ "ต้อง" ทำ

มีเพียงพอแม้สำหรับบางสิ่งที่ " น่า" ทำด้วย

มันจึงเป็นเรื่องของการเลือกลำดับความสำคัญของแต่ละอย่าง...

ไม่เช่นนั้นแล้ว..ก็เป็นการทำทุกอย่างที่ขวางหน้า..เห็นอะไรเป็นต้องทำหมด

ต่อเมื่อมีการเลือกที่ถูกต้อง ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี

แม้จะทำได้ไม่หมดทุกอย่าง...

การบริหารเวลาจึงไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสรรเวลาให้สิ่งต่าง ๆ เท่านั้น

แต่เป็นเรื่องของการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ " ต้องทำ" กับสิ่งที่ "น่าทำ" ด้วย...



"เวลา...ไม่มีชีวิต...แต่กลืนกินกระทั่งชีวิต...แล้วเธอผู้ใช้ชีวิตเล่า

...ระหว่างทางของกาลเวลา..จะมีระยะทางของตัวเธออยู่บ้างไหม ?.."


http://variety.teenee.com/foodforbrain/14445.html

การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม


การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม



การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรมที่มีผลส่งทอดสืบต่อในภพเบื่องหน้า

( กรรมในบทความนี้ หมายเอา กรรมที่มีผลสืบทอดต่อ ในความเป็นบุญ ความเป็นบาป อันจะนำพาให้ก่อภพชาติ )

หลักเกณฑ์ข้อที่ ๑ การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมที่ต้องมีผลตกทอดเป็นบุญเป็นบาปตามการกระทำนั้นๆทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรมที่จะมีผลตกทอดเป็นบุญเป็นบาป เช่นคนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนา กระทำแล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม

หลักเกณฑ์ข้อที่ ๒ ที่ว่า การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็เพื่อแยกการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำเรียกว่า อัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา ส่วนปุถุชนหรือแม้กระทั้งพระเสขะบุคคล ตั้งแต่โสดาบัน จนถึงอนาคามี ยังมีกิเลส หยาบบ้างละเอียดบ้างลดหลั่นกันไปตามภูมิธรรม ยิ่งเป็นปุถุชนแล้ว ความยึดมั่นยิ่งมีเต็มอัดตรา ในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอกรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้เกิดบาป

คนบางคนเข้าใจว่ากรรมหมายถึง สิ่งไม่ดีคู่กับเวร หรือบาป เช่นที่เรียกว่า เวรกรรม หรือ บาปกรรม ตรงกันข้ามกับฝ่ายข้างดีซึ่งเรียกว่าบุญ ทั้งนี้เพราะเราได้ใช้คำว่ากรรมในความหมายที่ไม่ดี เช่นเมื่อเห็นใครต้องประสบเคราะห์ร้ายและถูกลงโทษ เราก็พูดว่ามันเป็นเวรกรรมของเขา หรือเขาต้องรับบาปกรรมที่เขาทำไว้ แต่ความจริงคำว่ากรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงการกระทำตามที่กล่าวมาแล้ว จะมุ่งไปในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้

ทางแห่งการทำกรรม จำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมชาติที่เป็นมูลเหตุมี ๒ อย่าง คือ
๑.กรรมฝ่ายไม่ดีคือกรรมชั่วเรียกอกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมบถ
๒.กรรมฝ่ายดีเรียกกุศลกรรมหรือกุศลกรรมบถ

http://variety.teenee.com/foodforbrain/14385.html

อิจฉาริษยาเป็นเหตุ..(สมเด็จพระญาณสังวรฯ)


นินทาว่าร้าย
เพราะอิจฉาริษยาเป็นเหตุ


นินทาและสรรเสริญ อันเป็นกระแสแห่งกรรม แห่งโลกธรรม ที่สำคัญอย่างยิ่ง

เป็นเหตุแห่งทุกข์โทษภัยนานาประการ แก่จิตใจที่ขาดสติ ขาดปัญญา เมื่อผจญกับกระแสเสียงสรรเสริญก็ตาม กระแสเสียงนินทาก็ตาม ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาปิดกั้น ปล่อยให้เข้าไปทำร้ายจิตใจ หนักหนาเพียงไรก็ได้ เพียงไม่หนักหนานักก็มี

กระแสเสียงนินทาน่าจะหนักหนารุนแรงกว่ากระแสแห่งการยกย่องสรรเสริญ ดังที่เห็นอยู่ก็เช่นนี้ คือโบราณท่านว่าไว้ว่าจะถึงสมัยหนึ่ง ที่คนดีจะต้องเดินตรอก ขี้ครอกจะได้เดินถนน กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ผู้ใหญ่ในสมัยโบราณ ท่านอธิบายให้ลูกหลานเข้าใจความหมายของคำที่ว่านี้คือ คนดีจะถูกเหยียบย่ำ จนไม่อาจเผยอหน้าให้ใครเห็นได้ คนชั่วร้ายจะได้รับการยกย่อง จนแทบจะล่องลอยฟ้า

ผู้ใหญ่สมัยก่อนที่ท่านเป็นผู้ดี เป็นคนดี ท่านสอนลูกสอนหลาน ให้มีเหตุผลในการพูดในการฟัง นั่นก็คืออย่าไม่มีเหตุผล ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ในการพูด ในการฟัง ใครพูดอะไร ใครบอกอะไร ได้ยินก็เชื่อ ก็ฟังก็พูดต่อ

ท่านว่านี้เป็นเหตุสำคัญให้ถึงสมัยผู้ดีต้องเดินตรอก น่าจะหมายความว่า ผู้ดีหรือคนดี ถูกประณามหยามเหยียด จนอับอายขายหน้า ไม่อาจให้เห็นหน้าค่าตาได้ พิจารณาให้เห็นเหตุผล น่าจะเห็นได้ว่าเสียงนินทามีความสำคัญไม่น้อย ทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี หรือคนถูกกลายเป็นคนผิดไปได้มากมายยิ่งขึ้น ในทุกวันนี้

จนเป็นเหตุให้มีคำกล่าวว่า กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม หรือผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน นั่นเอง

ได้ยินใครพูดถึงใครอย่างไร ถ้าเป็นผู้ได้ยิน ที่ไม่เคยพบเคยผ่านเรื่องราวที่ฟังเสียงบอกเสียงเล่าด้วยตนเอง ไม่รู้จักผู้ที่ถูกกล่าวถึง ไม่เคยรู้เคยเห็นด้วยตนเอง ในการพูดการทำของแต่ละคน เขาจะเป็นคนดีคนชั่วหรือเป็นคนถูกคนผิดอย่างไร แม้ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟัง จากปากเขา เป็นภาพเป็นเสียงจากคนอื่นทั้งสิ้น

แม้คนอื่นนั้นเราพอรู้จักอยู่ แต่ก็จงมั่นคงในสติปัญญาของตน จงรอบคอบให้อย่างยิ่ง ในการเชื่อ

ผู้รอบคอบในการเชื่อ ก็คือรอบคอบในการฟัง เมื่อเป็นผู้รอบคอบในการเชื่อ ก็ย่อมเป็นผู้รอบคอบในการพูดด้วยเป็นธรรมดา การนินทาว่าร้ายที่เต็มไปทุกแห่งทั่วโลกก็ว่าได้ มิได้เกิดแต่เหตุใดอื่น แต่เกิดจากความเชื่อและนอกจากความเชื่อ ก็คือความอิจฉาริษยา

ที่ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย” จะกล่าวว่าการนินทาว่าร้าย เป็นเหตุให้โลกฉิบหาย ก็น่าจะไม่ผิด น่าจะเหมือนกันกับที่ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย”

เพราะการนินทาว่าร้ายจะไม่เกิด แม้ไม่มีความริษยาเป็นเหตุ เมื่อได้ฟังการนินทาว่าร้าย ก็ไม่ควรลืมพระพุทธภาษิตที่ว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย”

ได้ยินเสียงนินทาว่าร้าย ไม่ว่าจะจากผู้ใดก็ตาม ให้นึกถึงพพระพุทธภาษิตทันทีที่ว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย” อย่ายอมเข้าร่วมในการนินทาว่าร้าย หรือในความริษยา แม้เพียงด้วยการเชื่อ โดยมิได้บอกกล่าวเล่าขานต่อไปก็ตาม

แต่ถ้าเชื่อตามเสียงนินทาว่าร้ายและเป็นการเชื่อด้วยจริงใจ เชื่ออย่างปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากคำบอกเล่าของคนอื่น ซึ่งอาจจะป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ น่าไว้ใจ มีความจริงใจ มีความหวังดี ในการนำเรื่องมาบอกกล่าวเล่าให้ฟัง

จงรอบคอบให้อย่างยิ่งในการฟัง ไม่ว่าผู้พูดผู้เล่าจะเป็นใครก็ตาม นึกไว้อย่างหนึ่งว่า

การนินทาว่าร้าย ถ้าจริงก็เสียหายแก่ผู้พูดผู้ฟังพอสมควร แต่ถ้าไม่จริง ไม่เพียงแต่ผู้พูดเสียหายเป็นอย่างยิ่ง ผู้ฟังผู้เชื่อก็จะเสียหายมาก

: แสงส่องใจ (๒๔) ๓ ตุลาคม ๒๕๔๙
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมกาสังฆปริณายก

...ปฏิบัติเพื่ออะไร...




http://variety.teenee.com/foodforbrain/14395.html

แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว


แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว


แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว

นั่นเป็นสิ่งที่ "ต้นกล้า นัยนา" กล่าวเกริ่นไว้ในหนังสือ "แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว"

"ชีวิตของเราจะเ+++่ยวเฉาหรือสดใส มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวเราเอง"


และ "ต้นกล้า นัยนา" มีคำแนะนำที่ดีๆ ไว้หลายอย่าง

" อย่ากลัวถ้าจะต้องล้มเหลว อย่าอายถ้าบางทีเราต้องพ่ายแพ้บ้าง เราไม่จำเป็นต้องชนะตลอด ไม่จำเป็นต้องเก๋ ต้องเด่นกว่าคนอื่นตลอดเวลา คนที่ไม่กลัวล้มเหลวจะเป็นคนสง่า เพราะหลังจากที่มีความพร้อมและเข้าใจในสิ่งที่จะทำอย่างดีแล้ว เขาก็จะทำ คิด พูด สร้างสรรค์อย่างมั่นใจ จะมีความสง่างามและมีเสน่ห์ในตัวเองได้"

" มีความรักและมีไฟในสิ่งที่ทำอยู่ เมื่อใดก็ตามที่เรารักในสิ่งที่เราทำ เราจะทำได้ดีและไม่รู้สึกเหนื่อย มีไฟ คือมีความอยากและกระตือรือร้นที่จะทำ และทุ่มเทอย่างเต็มที่"

"ใช้ชีวิตอยู่ เพื่อวันนี้ แต่ก็อย่าลืมมองไปข้างหน้าด้วย ประเด็นก็คืออย่าไปพะวงถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปกังวลถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เรื่องที่เป็นไปได้ คือเรื่องที่เราลงมือทำ และทำด้วยตัวเอง คิดช่วยเหลือตัวเองก่อน ก่อนที่จะคิดหวัง รอหรือขอใครมาชว่ยเหลือเรา"

และการใช้เวลาให้คุ้มค่าก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

" ต้องใช้เวลาของเราอย่างฉลาด เรามีเวลาเท่ากัน เท่ากับทุกคน ใช้เวลาให้สมดุล อย่าโหมงานมากเกินไปจนลืมเวลาพัก อย่าพักมากเกินไป บันเทิงเกินไปจนลืมเวลางาน ทุกอย่างจะต้องอยู่บนฐานของความพอดี เมื่อพอดีแล้วจะเกิดผลดี"

เช่นเดียวกับต้องเลือกใช้เวลากับมันให้เหมาะสม

"เลือกทำงานที่มั่นใจ งานที่ไม่มั่นใจอย่าเพิ่งไปทำ ทำแล้วอาจจะทำให้เสียเวลาเปล่า เลือกทำงานที่ถนัด แล้วเราจะทำได้เป็นผลดี"

เมื่อทำงานเต็มที่แล้วเราก็จำเป็นต้องตกรางวัลให้ตัวเอง

" เรื่องสำคัญคือการให้รางวัลตัวเอง ให้ตัวเองได้พักผ่อน ให้ตัวเองได้เที่ยว ให้ตัวเองได้ซื้อของที่อยากซื้อ แต่ไม่ใช่ให้รางวัลตัวเองตลอด เพราะว่ารางวัลที่ว่าจะกลายเป็นของธรรมดา ไม่มีความหมาย ความหมายของรางวัลคือคุณค่าของมัน คุณค่าที่เราสร้างขึ้น คุณค่าที่เราได้รับ มันรวมความภูมิใจ อิ่มเอมใจ และมันจะเป็นพลังให้เรา"

คนที่เห็นโลกหลายมุม ย่อมปรับตัวเพื่อ อยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าจดจำแค่ “มุมเดียว “


http://variety.teenee.com/foodforbrain/14411.html

...ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตน...




http://variety.teenee.com/foodforbrain/14484.html

จงฉลาด พอที่จะอ่าน


จงฉลาด พอที่จะอ่าน


จง…เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จง...อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
จง...ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
จง…คิดก่อนทุกครั้งที่จะปล่อยเงินออกจากมือ
จง...ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
จง...โง่พอที่จะเชื่อในปาฏิหาริย์
จง ...เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง
จง...เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
จง...เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนราง
จง...เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
จง...เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
จง...เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
จง...มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
จง..มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจว่า ไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
จง..ใช้เวลามอง หรือให้โอกาสกับตัวเองที่จะเรียนรู้คนที่เขาบอกรักคุณ
จง...รักคนที่รักคุณ แม้อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 50 ปีเขาก็ยังรักคุณ
จง...รักคนที่ไม่รักคุณแล้ว...สักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ
จง...อย่าปล่อยให้คนที่รักคุณหลุดลอยไป
สุดท้าย จง...อย่าหลอกตัวเอง

--
สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

http://variety.teenee.com/foodforbrain/14491.html

จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้



การฝึกจิตเป็นความดี

พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้แปลความว่า การฝึกจิตที่ข่มยาก ที่เบา มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเป็นความดี เพราะว่าจิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้

จิตที่ข่มยาก หมายความว่า จิตเป็นสิ่งที่บังคับยาก ไม่อยู่ในอำนาจใครง่ายๆ เปรียบเหมือนคนเป็นคนดื้อ ยากแก่การสั่งสอนอบรม

จิตที่เบา มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ หมายความว่าจิตอ่อนแอ พ่ายแพ้ง่ายต่ออารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา เมื่อพบเห็นสิ่งใดเป็นที่ต้องตาต้องใจ ก็อ่อนแอตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้น ไม่มีกำลังเข็มแข็งที่จะพิจารณาให้เห็นความควรไม่ควร จึงกล่าว่า จิตเบา หรือจิตอ่อน

แต่ไม่ว่าจิตจะเป็นสิ่งที่บังคับยาก หรืออ่อนแอเพียงไรก็ตาม ผุ้มีปัญญาย่อมสามารถแก้ไขได้ สามารถบังคับจิตตนเองได้ สามารถแก้จิตที่อ่อนให้เป็นจิตที่เข้มแข็งได้ สำคัญที่ว่าต้องมีปัญญาเพียงพอ จึงจะมีความเข้มแข็งเพียงพอ ที่จะเอาชนะจิตที่ดื้อ ที่ข่มยาก ที่เบา คืออ่อนแอได้ ปัญญาต้องเพียงพอ ความเข้มแข็งต้องเพียงพอ ต้องทันกับจิต ไม่เช่นนั้นก็จะเอาชนะจิตไม่ได้ จิตก็จะเป็นฝ่ายชนะ

จิตที่ว่าอ่อนแอนั้นมีความอ่อนที่เป็นภัย เพราะอ่อนให้แก่ความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ไม่อ่อนให้แก่ความดีงาม ตรงกันข้ามจิตที่อ่อนจะแข็งกับความดีงามอย่างยิ่ง ต้องให้ความดีงามที่ประกอบด้วยปัญญา ประกอบด้วยความเชื่อมั่น ต้องศรัทธาจริงจังว่า การข่มจิตให้ลงอยู่ใต้อำนาจของความดีความถูกต้องนั้นเป็นการดี เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวว่า การฝึกจิตการข่มจิตเป็นความดี เพราะว่าถ้าทำได้สำเร็จก็จะมีความสุข เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละจสามารถนำสุขมาให้ได้จริง ฝึกจิตข่มจิตได้เพียงใด ก็จะมีความสุขเพียงนั้น

ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขของทุกคนไม่ได้เกิดแต่อื่น แต่เกิดแต่จิตของตนเท่านั้น ที่เข้าใจว่าความสุขอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ ความสุขอยู่ที่คนนั้นอยู่ที่คนนี้ หรือความสุขอยู่ที่สิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นเป็นความเข้าใจผิด

ที่จริงความสุขเกิดแต่จิต ความสุขอยู่ที่จิต ถ้าจิตไม่เป็นสุขแล้ว ผู้ใดอื่น อะไรอื่น ก็หาอาจทำให้เกิดความสุขได้ไม่ เงินทองแม้มากมายมหาศาล ยศฐาบัดาศักดิ์แม้ยิ่งใหญ่ บ้านเรือนตึกรามแม้มโหฬาร วงศ์สกุลแม้สูงส่ง ก็ไม่อาจทำให้เป็นสุขได้ ถ้าใจไม่เป็นสุข ถ้าจิตเป็นทุกข์ คือเร้าร้อนอยู่ด้วยกิเลส มีโลภ โกรธ หลง เป็นสำคัญ

อารมณ์ที่น่าใคร่ทั้งหลายที่มักจะมีอำนาจเหนือจิตใจที่เบา ที่อ่อน นั่นแหละเป็นเหตุสำคัญแห่งความทุกข์ความร้อนของจิต เมื่อเห็นความจริงนี้แล้ว ก็ย่อมจักยินดีอบรมจิตของตนให้พ้นจากอำนาจของกิเลส ให้เป็นจิตที่อ่อนต่ออำนาจของความดีงาม แต่ให้หนักให้แข็งต่ออำนาจของความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย

เมื่อใดสามารถอบรมจิตได้ ข่มจิตได้ แม้เพียงพอสมควร จึงจิตให้พ้นจากความอ่อนต่อความชั่วร้าย คือสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจทั้งหลาย แม้เพียงพอสมควร ก็จะได้รู้รสความสุขที่แตกต่างจากความสุขที่เป็นความร้อนเช่นที่พากันเสวยอยู่ พากันคิดอยู่ว่า เป็นความสุขที่พอใจแล้ว

: บุญ เป็นหลักใหญ่ของโลก
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

http://variety.teenee.com/foodforbrain/14492.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

เกาะรูปหัวใจ



เกาะรูปหัวใจ ดังกระฉ่อนโลก






เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในทะเลอาเดรียติก กลายเป็น "เกาะสวาทหาดสวรรค์" คนจำนวนมากอยากไปพักผ่อนฉลองวันเซนต์ วาเลนไทน์ (St. Valentine's Day) เทศกาลแห่งความรักประจำปีนี้...

หลังจากเว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต "กูเกิ้ลเอิร์ธ-Google Earth" เผย แพร่ภาพรูปโฉมของเกาะดังกล่าว ซึ่งธรรมชาติบรรจงเนรมิตให้ลักษณะเหมือนรูปหัวใจ สัญลักษณ์ แห่งความรัก โดยไม่ต้องพึ่งใครแต่งเติมเสริมสร้าง

เกาะรูปหัวใจตั้งอยู่นอกชายฝั่งทะเลประเทศโครเอเชีย พื้นที่แค่ 130,000 ตารางหลา เดิมชื่อเกาะกาเลสน์แจ็ค ไม่มีคนอยู่อาศัยถาวร แต่มีเจ้าของครอบครอง กรรมสิทธิ์

เจ้า ของเกาะเองก็ไม่คิดว่ารูปร่างมันจะเหมือนรูปหัวใจเปี๊ยบเช่นนี้ จนกระทั่งคนจากทั่วโลกติดต่อขอเช่าพักผ่อนวันวาเลนไทน์ บอกเห็นภาพและข้อมูลในกูเกิ้ลเอิร์ธ "น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ ผมมั่นใจเกาะนี้เหมือนรูปหัวใจที่สุดในโลก" วลาโด้ จูเรสโก้ สมาชิกครอบครัวเจ้าของเกาะบอกด้วยว่า "เราเปลี่ยนชื่อเป็น-เกาะคู่รัก-Lovers' Island" เรียบร้อยแล้วครับ


เกาะรูปหัวใจ


เป็น เกาะที่มีรูปร่างเป็นรูปหัวใจ ตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเกาะนี้ตั้งอยู่ที่ทะเลอาเดรียติก ประเทศอิตาลีโดยเกาะนี้มีชื่อเดิมว่า เกาะกาเลสจัก (Galesnjak Island) และตอนนี้เป็นที่รูปจักกันในชื่อว่า เกาะเลิฟเว่อร์ ( Lover Island ) โดยเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัวมีเจ้าของชื่อ นายวลาโด จูเรสโก้
ส่วนค่าพิกัดถ้าจะหาบน Google Earth หรือ Google map ละติจูด ( Lotitude ) : 43°58'42.47"N , ลองติจูด ( Longitude ) : 15°23'1.10"E

เกาะรูปหัวใจ จาก Google Earth เต็มๆ



เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในทะเลอาเดรียติก กลายเป็น "เกาะสวาทหาดสวรรค์" คนจำนวนมากอยากไปพักผ่อนฉลองวันเซนต์ วาเลนไทน์ (St. Valentine's Day)
เทศกาลแห่งความรักประจำปีนี้...

เกาะรูปหัวใจตั้งอยู่นอกชายฝั่งทะเลประเทศโครเอเชีย พื้นที่แค่ 130,000 ตารางหลา เดิมชื่อเกาะกาเลสน์แจ็ค ไม่มีคนอยู่อาศัยถาวร แต่มีเจ้าของครอบครอง กรรมสิทธิ์

เจ้าของเกาะเองก็ไม่คิดว่ารูปร่างมันจะเหมือนรูปหัวใจเปี๊ยบเช่นนี้ จนกระทั่งคนจากทั่วโลกติดต่อขอเช่าพักผ่อนวันวาเลนไทน์ บอกเห็นภาพและข้อมูลในกูเกิ้ลเอิร์ธ
"น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ ผมมั่นใจเกาะนี้เหมือนรูปหัวใจที่สุดในโลก" วลาโด้ จูเรสโก้ สมาชิกครอบครัวเจ้าของเกาะบอกด้วยว่า
"เราเปลี่ยนชื่อเป็น-เกาะคู่รัก-Lovers' Island" เรียบร้อยแล้วครับ

ฮือฮาเกาะ “กาเลสจัก” ตั้งอยู่ในทะเลอาเดรียติก หรือ “เกาะเลิฟเว่อร์” ชาวโลกคลั่งไคล้ใช้เป็น”สถานที่ฉลองวาเลนไทน์“เป็นเกาะรูปหัวใจที่สมบูรณ์ แบบที่สุด

ในขณะที่ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ใกล้ มาเยือนอีกเพียงวันสองวัน “คู่รัก”หลายคนอาจเล็งหาวิธีการฉลองความรักให้แก่ตัวเองและคนรักด้วยวิธีการ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกเดท หรืออะไรก็ตาม รวมทั้งการเล็งหาสถานที่”พลอดรัก”ในวันวาเลนไทน์ด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีหนึ่งในสถานที่ฮือฮามากที่สุดในตอนนี้ ที่ถูกมองว่าเหมาะสมสุด ๆ ที่จะเป็นเกาะ ๆ หนึ่งสำหรับการฉลองวาเลนไทน์ใน จิตใจผู้คนทั่วโลกไปแล้ว เกาะนี้เดิมชื่อว่า”กาเลสจัก”ตั้งอยู่ในทะเลอาเดรียติก แต่ตอนนี้ถูกเรียกขานในชื่อว่า”เกาะเลิฟเว่อร์”ในหมู่ชาวโลกที่คลั่งไคล้ไป แล้ว ความดังหรือความฮือฮาของเกาะนี้ ซึ่งอยู่ห่างชายฝั่งประเทศโครเอเชีย บังเกิดขึ้นเพียงเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจาก”กูเกิล เอิร์ธ”แผลงฤทธิ์ เผยสถานที่เหมือนรูปหัวใจ ในห้วงโอกาสวาเลนไทน์ ทำให้ติดตาตรึงใจผู้คน จนเกาะดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตร้อนแรง มีผู้คนแห่ติดต่อเจ้าของเกาะ หมายจะขอใช้เป็น”สถานที่ฉลองวาเลนไทน์”อย่างคึกคัก นายวลาโด จูเรสโก้ เจ้าของเกาะบอกว่า เขารู้สึกที่งมาก และตัวเองก็คิดว่า เกาะนี้เป็นเกาะรูปหัวใจที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลกแล้ว แถมบรรยากาศเกาะก็ยังสันโดษ เหมาะสำหรับที่คู่รักจะใช้เวลาอยู่ร่วมกัน บนเกาะรูปหัวใจแห่งนี้ อะไรก็เถอะ ที่น่าเสียดายก็คือนายจูเรสโก้ไม่ได้จัดการปัญหาว่า เมื่อถึงเวลา นักท่องเที่ยวจะพักตรงไหน น้ำท่าจะให้บริการอย่างไร แถมตอนนี้ สภาพอากาศบนเกาะนี้ ก็อยู่ที่ระดับ 14 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่า ไม่เหมาะที่จะเป็นเกาะสำหรับตากอากาศ อาบแดด หรือว่ายน้ำ แต่เอาเถอะในอนาคต เกาะแห่งนี้จะอาจกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตไปได้โดยปริยาย เพราะ”ความไม่เหมือนใคร”ชนิดยากจะลืมของ”เกาะรูปหัวใจแห่งเดียวของโลก”นั่น เอง

http://hilight.kapook.com/view/33749
http://news.softpedia.com/news/Galesnjak-Lovers-Island-Ideal-for-a-Romantic-Valentine-s-Day-104329.shtml

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีการสร้าง Blog

วิธีการสร้าง blog เก็บข้อมูลส่วนตัวฟรีที่ Blogger.com
Blog เป็นเครื่องมือสำหรับเขียนบันทึกเหตุการณ์ส่วนตัว ชื่อเต็มๆ มาจาก Weblog โดยคนที่เขียน blog เขาจะเรียกว่า blogger หรือ Weblogger ที่จริงแล้วจะเรียกชื่ออะไรคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเรามากนักเอาเป็นว่าให้พอรู้จักชื่อละกัน หากท้าวความย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะทำเว็บไซต์ส่วนตัวจะต้องศึกษาเครื่องมือเขียนเว็บอย่าง HTML หรือหากจะให้ง่ายหน่อยก็ใช้ทูลสำเร็จรูปอย่าง Dreamweaver, Frontpage ในการสร้างเว็บขึ้นมา หลังจากสร้างเสร็จจะต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรีเพื่ออัปโหลดข้อมูลในเครื่องเราขึ้นไปเก็บอีกทีหนึ่ง จึงจะมีเว็บของตัวเองได้

สำหรับ blog ไม่เป็นเช่นนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนโค้ด หรือนั่งสร้างเว็บเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรี ก็สามารถมีเว็บไว้บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวได้แล้ว อีกทั้งสามารถเปลี่ยนรูปพื้นหลัง (template) ได้ด้วย ปัจจุบัน blog กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัททั้งเล็ก ใหญ่ต่างก็ทำเว็บบล็อกบริการในบริษัท เพื่อให้พนักงานเขียนบล็อกส่วนตัวได้

* โดยในเนื้อหาใน Blog นั้นจะส่วนประกอบสามส่วนคือ 1.หัวข้อ (Title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน (Date)


ประโยชน์หลักของ blog
• เป็นศูนย์ความรู้ของบริษัท เพราะให้พนักงานแต่ละคนเขียนบล็อกส่วนตัวไว้ หากพนักงานท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่บริษัทให้รุ่นน้องศึกษา
• ใช้รายงานเหตุการณ์ หรือผลการทำงานว่าแต่ละวันได้ทำอะไรบ้าง
• ใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน กรณีมีการทำงานร่วมกัน
• ใช้สำหรับโชวร์ ผลงานส่วนตัว หรือไซต์ส่วนตัว
• ใช้ทำเว็บไซต์ส่วนตัว / เว็บดาราดัง (เราอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครสักคนก็สามารถทำได้สบาย )
• ใช้ทำเว็บรวมสถานที่ท่องเทียวในตัวจังหวัด หรือในอำเภอเล็กๆ ตามต่างจังหวัด
• ...

ตัวอย่างเว็บไซต์ ในลักษณะ Weblog
• Mblog > weblog.manager.co.th
• OpenTLE Blog > blog.opentle.org
• Kapook Blog > www.kapookclub.com
• BlogGang > www.bloggang.com
• Exteen Blog > www.exteen.com
• MSDN Blogs > blogs.msdn.com
• Sun Blog > blogs.sun.com
• OracleAppsBlog > www.oracleappsblog.com
• Google Blog > googleblog.blogspot.com
• IBM Developer Blog > www-106.ibm.com/developerworks/blogs

การสมัครเขียนบล็อกฟรี ที่ Blogger.com

1. เข้าสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ www.blogger.com











2. คลิกที่เริ่มสร้างบล็อกที่ CREATE YOUR BLOG NOW











3. กรอกรายละเอียดส่วนตัว ชื่อล็อกอิน / รหัสผ่าน / ชื่อบล็อก / อีเมล์
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue


















4. ระบุรายละเอียดของบล็อก
Blog title : ระบุชื่อบล็อก
Blog address (URL) : ชื่อยูอาแอลสำหรับเรียกใช้งาน http://arnut.blogpot.com
World Verification : พิมพ์รหัสที่ระบบบอกมา
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
















5 . ระบบจะแสดง Template ให้เลือกใช้งานหลายแบบ ให้ทำการคลิกเลือก Template ที่ต้องการ
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue





















6 . ระบบแสดงข้อความกำลังทำการสร้าง blog ให้อยู่

















7. ทำการสร้าง blog เสร็จแล้ว
ให้คลิกปุ่ม START POSTING เพื่อทดสอบเข้าใช้งาน















8. พิมพ์รายละเอียดข้อความแรกในบล็อก หลังพิมพ์ฺเสร็จสามารถคลิก preview ดูผลก่อนได้
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Publish Post



















9. เสร็จสิ้นการติดตั้งเว็บบล็อก
ให้คลิกที่ View Blog เพื่อดูผล















10. แสดงบล็อกส่วนตัวที่สร้างเสร็จแล้ว
สังเกต url ด้านบนจะเป็น http://arnut.blogspot.com/



















11. ที่นี้กรณีที่ต้องการเขียน Blog เพิ่มเติม หรือเข้าไปแก้ไข Blog สามารถล็อกอินเข้าได้ที่
http://www.blogger.com/start พิมพ์ชื่อ username / Password
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม SIGN IN เพื่อเข้าระบบ















12. จะเข้าสู่หน้าต่างผู้ดูแลบล็อกสำหรับแก้ไข และปรับแต่งข้อมูลต่างๆ ดังรูป
ทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ


















สรุป
ในการสร้างบล็อกนั้นสามารถทำได้สองแบบคือ
1. การติดตั้งโปรแกรมทำ Blog ขึ้นใช้งานเองสำหรับบริการพนักงานใน office เลย ตัวอย่างโปรแกรมสร้าง blog เช่น WordPress, b2evolution, Nucleus, pMachine, MyPHPblog, Movable Type, Geeklog, bBlog (วิธีนี้ท่านต้องมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเองอาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Internet Blog ก็ได้)
2. การใช้งานบล็อกฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บเปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น Blogger.com (en), Bloglines.com (en), Exteen.com (th), Bloggang.com(th)*


http://www.cmsthailand.com/docs/blogger_register.html

แผนที่เกาะรูปหัวใจ

http://maps.google.com/maps?hl=en&q=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88&ie=UTF8&ll=43.979012,15.383434&spn=0.007983,0.019312&t=h&z=16&iwloc=A

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ท้องร่วง...โรคภัยในหน้าร้อน



ท้องร่วง คือโรคภัยชนิดหนึ่งที่พบมากในหน้าร้อน โรคท้องร่วงมีสาเหตุจากการติดเชื้อซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อบิด หรือปรสิต ซึ่งยาที่รักษาก็ต้องแตกต่างกันด้วย โรคท้องร่วงส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อข้างต้นและสามารถหายได้เองโดย ไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ ซึ่งยาปฏิชีวนะ ใช้ได้กับคนที่มีอาการท้องเสียที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น!!

ตัวอย่างยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้กันมากทั้งๆที่ไม่จำเป็น

นีโอมัยซิน เป็นยาปฏิชีวนะซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะแบคทีเรีย ยานี้มีพิษต่อประสาทหูมากที่สุดชนิดหนึ่ง ถ้ากินอาจจะมีอาการโคลงเคลง หูตึง และได้ยินเสียงดังอยู่ตลอดเวลา

พทาริลซัลฟาไทอาโซล เป็นยาต้านแบคทีเรียในกลุ่มซัลฟา ในปัจจุบันแบคทีเรียแทบทุกชนิดต่างดื้อยาตัวนี้ยาในกลุ่มนี้ผลข้างเคียงมาก และรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่น อาการตับอักเสบ ตับวายและเป็นโรคของเม็ดเลือดหลายชนิด

ไอโอโดควินอล เป็ยาฆ่าเชื้อบิด ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง มีพิษต่อระบบประสาท เกิดอาการประสาทตาอักเสบซึ่งทำให้ตาบอดได้

ฟูราโซลิโดน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ทั้งกับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อปรสิตแต่ปัจจุบันเลิกใช้ ไปแล้วเพราะยาตัวนี้อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกทั้งในคนปกติและคนที่พร่อง เอนไซม์จีซิกซ์พีดี

การใช้ยาฆ่าเชื้อแบบเหวี่ยงแห คือการใช้ยาหลายๆชนิดในคราวเดียวกันเพื่อครอบ คลุมเชื้อที่อาจเป็นไปได้ให้มากชนิดที่สุด เช่น การนำยานีโอมัยซิน+พทาริลซัลฟาไทอาโซ+ไอโอโดควินอล+ฟูราโซลิโดย รวมไว้ในยาเม็ดเดียวเป็นสูตรผสม ซึ่งเป็นยาอันตรายทั้ง 4ชนิด ถ้าเราไม่ได้มีการติดเชื้อ ยาที่กินเข้าไปก็เปล่าประโยชน์ถึงแม้ติดเชื้อใดเชื้อหนึ่งก็ได้รับยาเกินไป ถึง 3 ชนิด

***วิธีที่ดีที่สุด คือการไม่ใช้ยา**

เราควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป ควรกินอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม งดอาหารรสจัดหรืออาหารที่ย่อยยากไม่ควรดื่มนม อาการท้องเสียป้องกันได้ โดยการกินอาหารที่สุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาดและล้างมือก่อนหยิบจับอาหารกินทุกครั้ง

ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"

ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"



ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
เพราะไม่เคยดูถูกตัวเอง

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าใครกำหนดชนชั้นในสังคม
ใครบอกว่าคนนี้ด้อยกว่าคนนั้น..คนนั้นเลิศกว่าคนนี้

"คนนั้นเขาดูถูกฉัน"..
"ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูก"

ฉันว่าไม่มีใครมาดูถูกเราได้..
ถ้าหากเราไม่คิดดูถูกตัวเอง

คนที่เดือดร้อน..นั่นแสดงว่า..
เขาไม่มีความภูมิใจในตัวเอง

ลองนั่งอยู่กับตัวเองซักพัก..
และลองหาดูว่าตัวเองมีอะไรที่คนอื่นไม่มีบ้าง

ฉันไม่ได้หมายถึง..
กระเป๋ามียี่ห้อ..รองเท้าจากอิตาลี..หรือขับรถซีรี่ส์ 7

แต่หมายถึงสิ่งดี ๆ ที่มักมีใครหลายคนสรรเสริญเราให้ได้ยิน
เช่น...

เราเรียนเก่ง..
เป็นคนใจกว้าง..
เป็นคนที่เพื่อนรัก
ไม่เรื่องมาก...

แค่นี้เธอก็มีความพิเศษกว่าคนอื่นแล้ว..
สิ่งนี้แหละที่บ่งบอกว่า...

เป็นตัวเธอ...
มีคนเดียวในโลก..
และเธอก็น่าจะภูมิใจ

คนที่ดูถูกคนอื่น..
น่าสงสารกว่าเราอีกนะ
........
..........


เพราะเขามัวมองคนอื่น..
จนลืมมองตัวเอง...

รู้จักกันมั้ย "โรคอกหัก"

รู้จักกันมั้ย "โรคอกหัก"


เขา ว่ากันว่า ความรักนี้ช่างมหัศจรรย์นักหนา เพราะแค่คำว่ารัก คำเดียว สามารถเปลี่ยนคนเราให้ขาวกลายเป็นดำได้ สามารถทำให้คนหดหู่กลายเป็นคนสดใสขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ



แต่ ในขณะเดียวกันเมื่อเราต้องเจอกับความไม่สมหวังในความรัก รักนั้นก็อาจจะกลายเป็นยาพิษที่สามารถทำให้เราทรมานทั้งร่างกายและจิตใจได้ อย่างที่เรียกกันบ่อย ๆ ว่า "อกหัก" เมื่อก่อนนี้เราอาจจะมองว่า "อกหัก" เป็นแค่อาการ ๆ หนึ่งที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราไม่สมหวังในความรัก รักเขาแล้ว แต่เขาไม่รักตอบกลับไปรักคนอื่นที่ไม่ใช่เราแทน


แต่ คุณทราบหรือไม่ว่าเดี๋ยวนี้ "อกหัก" ไม่ใช่แค่อาการธรรมดา ๆ แล้วนะ เพราะล่าสุดนักวิจัยจากประเทศออสเตรีย ระบุว่า อกหัก ถือเป็น "โรค" อย่างหนึ่งได้ เพราะมันมีผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ที่เป็นโรคอกหักเลยทีเดียว


อาการ ทางร่างกาย ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ นอนไม่ค่อยหลับน้ำหนักลดลง ไม่เจริญอาหาร ภูมิคุ้มกันลดลง ในขณะที่อาการทางจิตใจก็คือ เครียด รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีเรี่ยงแรง ไม่ค่อยมีสติ


ซึ่ง อาการดังกล่าวนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยมีร่างกายและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ หากไม่ได้รับการรักษาเยี่ยวยาที่ถูกต้องอาจจะนำพาไปสู่ภาวะขาดสติจนถึงขั้น คิดฆ่าตัวตายเลยทีเดียว


โดย การรักษานั้นนักวิจัยกล่าวว่า ให้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรักครั้งเก่า ให้คนรอบข้างหมั่นพาไปในสถานที่ที่ยังไม่เคยไปด้วยกันมาก่อน หรือลองหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำด้วยกัน แต่ทั้งนี้ หากเป็นคนที่มีจิตใจที่อ่อนแอมาก ๆ แนะนำว่าให้ควรพบจิตแพทย์ เพราะคุณหมอจะช่วยเยียวยาได้ดีที่สุด เนื่องจากผู้ที่มีจิตใจที่อ่อนแอมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายง่ายกว่าคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

คนท้อไม่แท้ คนแท้ไม่ท้อ

คนท้อไม่แท้ คนแท้ไม่ท้อ


คำว่าพลิกวิกฤติให้เนโอกาสนั้นมีจริง
เพราะคนชนะ จะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
พอตกงาน เค้าก็จะไปทำอย่างอื่น
จนประสบความสำเร็จ และร่ำรวยขึ้นมาได้

แต่คนแพ้ จะคิดว่าการชนะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้...
มีเด็กจบปริญญาตรีคนหนึ่ง
ไปมองหาลู่ทางขายของ
เมื่อเห็นว่ามีก๋วยเตี๋ยวขายเยอะแล้ว
ก็หันมาขายข้ามหมกไก่
ขายได้วันล่ะหมื่น แต่อยากเพิ่มเป็นวันล่ะแสน
ก็ขยายเป็น 10 สาขา
ทำให้เดือนหนึ่งมีรายได้มากถึง 3 ล้านบาท

ฉะนั้นแล้ว
อย่าเป็นคนด้านได้ อายอด ใจหด หมดกำลังใจ
เราต้องต่อสู้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

อย่าไปหมดหวัง ท้อแท้กำลังใจ
"คนท้อ ไม่แท้
คนแท้ ไม่ท้อ"

6 นิสัยที่ทำร้ายตัวเอง

6 นิสัยที่ทำร้ายตัวเอง.
ถ้า พูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดีคุณจะนึกถึงคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร? บางคนนึกถึงคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หรือคนที่ไม่เคยมีความทุกข์เลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นก็อาจถูกต้องในบางส่วน

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัด แย้งภายในจิตใจ

ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ครับว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะครับ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่

1. นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใคร ๆ ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใด ๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็ คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

2. คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความ รู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

3. นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่ เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

4. นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิด ๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไป อีก

5. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้ คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

6. คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความ คิดร้าย ๆ ของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่น ๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน

สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหมครับ ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

เมื่อรัก......หมายถึงความใส่ใจ

เมื่อรัก...หมายถึงความใส่ใจ



เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรัก . . . คืออะไร?"
ผมคิดว่า . . . วันนี้ผมมีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ
คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"

หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน
ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ

หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า. . .
คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร
แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้
ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...
นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง
หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง
เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก
ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ


ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย
หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน
คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย
หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น
คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน
ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ


หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง
เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ
คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง
หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า "ถึงหรือยัง" "ปลอดภัยดีไหม" "เหนื่อยไหม"
หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน
มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า
"โชคดีนะ ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"


หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า "ขับรถดีๆนะ"
หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ
ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน
คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่
ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน


แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่
ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน ความเกรงใจเป็นสิ่งดี
และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน
คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน
เพียงแต่วันนี้ . . . คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????

ฮีทสโตรก โรคที่เกิดช่วงหน้าร้อน

ฮีทสโตรก โรคที่เกิดช่วงหน้าร้อน



ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ทุกคนให้ความสำคัญ เพราะนับวันอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประเทศไทย ขณะนี้สภาพอากาศร้อนจัดกว่าทุกปี ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยหลายโรค เช่น โรคในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่มีเชื้อโรคปน เปื้อนเข้าไปซึ่งเกิดบ่อยที่สุด แต่โรคที่มีการพูดถึงกันน้อย คนเป็นบ่อยช่วงหน้าร้อนคือ "โรคฮีทสโตรก" หรือ "โรคลมแดด" (Heat Stroke) แต่บางที่ก็เรียกว่า "โรคอุณหพาต" หรือ "โรคลมเหตุร้อน" นั้นเอง

อาการของโรค ฮีทสโตรก

โรคฮีทสโตรก เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนทำให้ความร้อนใน ร่างกาย (core temperature) สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่เบื้องต้น ได้แก่ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศรีษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียน ซึ่งอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก ได้แก่ ภาวะขาดเหงื่อ, เพ้อ, ชัก, ไม่รู้สึกตัว, ไตล้มเหลว, มีการตายของเซลล์ตับ, หายใจเร็ว, มีการบวมบริเวณปอดจากการคั่งของของเหลว, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, การสลายกล้ามเนื้อลาย, ช็อค และเกิดการสะสมของ fibrin จนไปอุดตันหลอดเลือดขนาดเล็กทำให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

สามารถของผู้ป่วยเป็นโรคฮีทสโตรก แบ่งตามสาเหตุการเกิดโรคออกเป็น 2 ประเภท คือ

- Classical Heat Stroke เกิดจากความร้อนในสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่มีมากเกินไปส่วนใหญ่เกิดในช่วงที่ มีอากาศร้อน พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมากและมีโรคเรื้อรัง มักเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง อาการที่สำคัญ คือ อุณหภุมิร่างกายสูง, ไม่มีเหงื่อ

- Exertional Heat Stroke เกิดจากการออกกำลังที่หักโหมเกินไป มักจะเกิดในหน้าร้อนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานและนักกรีฑา อาการคล้ายกับ Classical แต่ต่างตรงที่กลุ่มผู้ป่วยประเภทนี้จะมีเหงื่อออก นอกจากนี้ยังพบการเกิดการสลายเซลล์กล้ามเนื้อลาย โดยจะมีอาการแทรกซ้อน ได้แก่ ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ และพบไมโอโกลบินในปัสสาวะด้วย

บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคฮีทสโตรก

บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคฮีทสโตรก ได้แก่ ทหารที่เข้ารับการฝึกโดยปราศจากการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมในการเผชิญสภาพ อากาศร้อน รวมถึงบรรดานักกีฬาสมัครเล่นและผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น รวมทั้งผู้สูงอายุ เด็ก คนอดนอน คนดื่มเหล้าจัด และผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย

สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก

สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก ก็คือ ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่ามีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจะต้องหยุดพักทันที

หากพบเจอผู้เป็นโรคลมแดดสามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดย

• นำผู้มีอาการเข้าร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง ถอดเสื้อผ้าออก
• ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศรีษะ ร่วมกับการใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
• เทน้ำเย็นราดลงบนตัวเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล

วิธีการป้องกันโรคลมแดด คือ

• หากรู้ว่าจะต้องไปทำงานท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนก็ควรเตรียมตัวโดยการออก กำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ อย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ร่างกายชินกับสภาพอากาศร้อน
• ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และแม้ว่าจะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
• สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี
• ก่อนออกจากบ้านควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป
• หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด
• หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ แก้น้ำมูก โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรือการอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนเป็นเวลานาน
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาเสพย์ติดทุกชนิด
• ในเด็กเล็กและคนชราควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องจัดให้อยู่ในห้องที่อากาศระบายได้ดี และอย่าปล่อยให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพัง


--------------------

รู้ทันโลกในหน้าร้อน

รู้ทันโรคในหน้าร้อน

ในหน้าร้อน กระ ฝ้า มักแห่กันมาเยี่ยมใบหน้าของคุณ หากไม่ป้องกันหรือเหงื่ออกมากๆ ก็ต้องระวังผื่นคัน และเชื้อรา
ดาราสาว คาเมรอน ดิแอช ชอบเล่นวินเซิร์ฟเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งก็ย่อมหนีไม่พ้นแสงแดด เธอจึงจำเป็นต้องใช้ซันบล็อกทุกครั้ง ส่วนดาราสาวใหญ่ที่สวยไม่สร่างอย่าง ชารอน สโตน ก็ชอบอาบแดดบ้างเป็นครั้งคราว และในทุกครั้งที่อาบแดด ชารอนปกป้องผิวเป็นพิเศษด้วยผลิตภัณฑฑ์กันแดดคุณภาพดีและมีต่า SPF สูง
เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าแสงแดดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็สามารถให้โทษได้เหมือนกันถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี Lisa จึงสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญถึงวิธีป้องกันผิวและรู้ทันโรคในฤดูร้อนนี้ค่ะ
Q : แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร

A : มัน จะช่วยกระตุ้นเซลล์บางตัว ให้กระตือรือร้นในการป้องกันโรค และทำให้ภูทิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้แสงแดดยังช่วยให้ผิงสร้างวิตามินดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมในกระดูกได้ดียิ่งขึ้น และยังกระตุ้นให้มีการผลิตฮอร์โมนแห่งความสุข รวมทั้งฮอร์โมนเพศเทสโทสเทอโรนและเอสโตรเจนอีกด้วย
Q : ควรระวังภัยจากแสงแดดที่แผดกล้าอย่างไร

A : แท้ จริงแล้วทางการแพทย์เห็นว่าแสงแดดนั้นมีความสำคัญสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เพียงต้องระวังไม่ให้ผิวไหม้แดด เพราะอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปเที่ยวทะเลเพราะรังสีจากแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากน้ำ หรือทรายจะสะท้อนรังสียูวีเพิ่มมากขึ้นอีก 4 เท่า ดังนั้นเราควรปกป้องตัวเองด้วยการทาครีมกันแดด 1 ชั่วโมง ก่อนออกไปนอกที่พัก และควรทาบ่อยๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มการป้องกันได้ดีขึ้น อย่าดดนแสงแดดนานๆ โดยเฉพาะเวลา 10.00 – 15.00 น. และควรป้องกันบริเวณทีผิวบอบบางด้วยเสื้อผ้าที่มิดชิด สวมหมวก และควรเป็นเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดดทะลุถึงผิวได้ เช่น ผ้าฝ้าย

Q : ถ้าหากใช้แบบกันน้ำก็ต้องระวังเรื่องการทำควาสะอาดใช่มั้ยคะ

A : ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ซึ่งปัจจุบันมีหลายแบบ เช่น มิลกี้ ออยล์ แต่ถถ้ามีสิวแล้วใช้ออยล์เช็ดสิวอาจจะเห่อได้ ก็ควรใช้มิลกี้ที่ไม่มีออยล์เช็ดทำความสะอาด ปัจจุบันมีคลีนเซอร์หลายแบบที่ล้างเครื่องสำอางได้ดี
Q : ผลิตภัณฑ์กันแดดควรมีคุณสมบัติอย่างไร

A : ผลิตภัณฑ์ กันแดดมีหลายชนิด เช่น ครีม น้ำ โลชั่น สเปรย์ ถ้ามีค่า SPF เท่ากันก็ชึ้นอยู่กับปริมาณการทา ว่าทาได้เพียงพอหรือไม่ ถ้าเป็รสเปรย์ก็อาจทาได้ไม่ทั่วถึง บริเวณที่ทาไม่ทั่วก็จะโดนแดดซึ่งจะทำให้เกิดกระ ฝ้า ได้ง่าย ครีมกันแดดอาจทาได้ทั่วบริเวณมากกว่าสเปรย์ส่วนโลชั่นก็เหมาะกันคนผิวมัน มากๆ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพราะคนที่ผิวมันมากๆ หากใช้ครีมก็ยิ่งจะผิวมันมากขึ้นอีกส่วนค่า SPF ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของวันนั้นๆ ถ้าไม่ค่อยโดนแดดมาก ก็ใช้ 25 – 30 ก็พอ แต่ถ้าไปเที่ยวหรือมีกิจกรรมกลางแจ้งก็ควรใช้ค่า SPF 50-60 จะดีกว่าและควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่ปกป้องผิวได้ทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบี ส่วน PA หมายถึง การป้องกันรังสียูวีเอ ซึ่งหากเป็ร PA+++ ก็จะปกป้องรังสียูวีเอได้มากกว่า PA+ หรือ PA++ และ SPF หมายถึงการป้องกันรังสียูวีบี ค่ามากกว่าก็จะป้องกันได้มากกว่า
Q :คนที่มีอาการแพ้แสงแดดที่เรียกว่า Photodermatosis เป็นอย่างไร

A : คนที่แพ้แสงแดดจะสังเกตเห็นได้ว่า พอโดนแสงแดดจะมีผื่นขึ้น ชนิดผื่นจะมีหลายชนิด และถ้าไม่โดนแดดก็จะไม่เป็นเผื่อ ผื่นก้จะเกิดที่บริเวณที่โดนแดดเท่านั้น เช่น ถ้าเราใส่เสื้อแขนสั้น ผื่นก็จะขึ้นบริเวณแขน ซึ่งไม่มีผ้าปกปิด ส่วนที่ไม่โดนแดดจะไม่ค่อยมีผื่นขึ้น กรณีที่ขึ้นผื่นบริเวณที่โดนแดดก็ต้องสงสัยว่า แพ้แดดหรือเปล่า แต่บางคนเมื่อโดนแดด ผื่นจะยังไม่ขึ้นทันที แต่พอเข้สไปอยู่ในร่มสักประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง ก็มีผื่นขึ้นได้ แต่บริเวณที่เป็นก็จะบอกได้ว่าแพ้แสงแดดหรือไม่ คือบริเวณที่รับแสงแดดโดยตรง เช่น คอส่วนบน ตรงแขนหรือส่วนที่ไม่มีผ้าปกปิด จะมีผื่นขึ้นโดยทั่วไป มีคนจำนวนไม่มากนักที่แพ้แสงแดด และไม่จำเป็นจะเป็นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น
Q : เมื่อเหงื่ออกมากๆ มักมีอาการคัน มีสาเหตุเกิดจากอะไร และควรป้องกันอย่างไร

A : คนที่เหงื่อออกแล้วมีอาการคันเหมือนแพ้เหงื่อตัวเอง คทอเวลามีเหงื่อออก เหงื่อจะมีความเค็ม ซึ่งบางคนเวลาเหงื่ออกมากๆ ก็จะระคายเคือง แต่ถ้ามีอาการคันก็ควรอยู่ในที่เย็นๆ หือพอเหงื่ออกมากๆ ก็ให้ไปอาบน้ำชำระเหงื่อ อย่าให้เหงื่อแห้งจับตัวเพราะจะทำให้ผื่นคัน

Q : ควรป้องกันอาการปากเป็นแผลหรือเริมจากแสงแดดอย่างไร

A : บางคนเมื่อโดนแดดมากๆ ก้จะเป็นการกระตุ้นเชื้อไวรัสให้เจริญเติบโตได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นกันไม่มาก ยกเว้นคนที่ตากแดดนานๆ บ่อยๆ แต่คนทั่วไปที่เป็นเริม การตากแดดก็ไม่เป็นการทำให้เห่อเท่าไหร่ ส่วนมากคนที่เห่อเมื่อโดนแดด ก็จะมียารับประทานช่วยป้องกันไม่ให้เริมขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูล จากโรงพยาบาลยันฮี